Episode 1 : Legend of the Golden Witch

Chapter 0
Date : ????
Time : ????

ดร.นันโจพยายามบอกให้คินโซ เจ้าตระกูลอุชิโรมิยะ เลิกดื่มเหล้า
สุขภาพของคินโซช่วงนี้แม้จะดีขึ้น แต่เขาก็ไม่ควรดื่มหนัก
นันโจเป็นแพทย์คนสนิทของคินโซ แล้วยังเป็นเพื่อนสนิทของเขาด้วย
เมื่อคินโซ ถามว่าเขาอยู่ได้อีกนานแค่ไหน
นันโจ ตอบตรงๆ ว่า อยู่ได้อีกไม่นาน และยิ่งถ้าเขาดื่มก็จะยิ่งอายุสั้น
ทั้งสองพูดถึงกระดานหมากรุกที่เล่นค้างไว้อยู่
ระหว่างนั้น นันโจให้คำแนะนำ
“ถ้านายเป็นผู้ป่วยคนหนึ่ง นี่คงถึงเวลาแล้ว ที่ฉันอยากแนะนำให้นายเขียนพินัยกรรม”
“พูดเรื่องพินัยกรรมอะไร นันโจ ? เขียนพินัยกรรม ให้เจ้าพวกอีแร้งให้มากัดกินและฉีกศพของข้าเหรอ ?””
“ไม่ใช่แบบนั้น เขียนความตั้งใจบางอย่างของนาย ไม่ได้หมายถึงการแบ่งมรดกเท่านั้น”
“ฮ่า ให้ข้าเขียนอย่างอื่นนอกจากการแบ่งมรดกเหรอ ?”
“สิ่งที่นายเสียใจ, สิ่งที่นายยังทำไม่สำเร็จ, สิ่งที่นายต้องการให้สืบทอด, สิ่งที่นายต้องการส่งต่อ  อะไรประมาณนั้น”

“ฮ่า สิ่งที่ข้าต้องการให้สืบทอด, สิ่งที่ชั้นต้องการส่งต่อ ? ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง
ข้า อุชิโรมิยะ คินโซ ไม่มีสิ่งที่ชั้นต้องการบอกหรือเหลือทิ้งไว้ !!!
ข้าเกิดมาตัวเปล่า และข้าจะตายโดยไม่เหลืออะไร!
ข้าไม่อยากเหลืออะไรให้กับพวกลูกโง่เขลา!!
แม้ว่าข้าจะตายวันนี้ แม้ว่าข้าจะตายเดี๋ยวนี้!
ข้าไม่กลัวอะไร ดังนั้นชั้นไม่ควรยอมรับโชคชะตา
ข้าสร้างทุกสิ่ง
ความร่ำรวยของข้า!
ชื่อเสียงของข้า!
ทุกสิ่งทุกอย่าง!!
พวกนั้นถูกสร้างพร้อมกับข้า และจะไปพร้อมกับข้า
ข้าจะไม่เหลืออะไรทิ้งไว้!!
ไม่เหลืออะไร!!
ข้าไม่ต้องการป้ายหลุมศพ ไม่ต้องการหีบศพ
มันเป็นสัญญาระหว่างแม่มดและข้า
เมื่อข้าตาย ข้าจะสละทุกสิ่ง
มันเป็นสัญญาตั้งแต่ต้น และมันจะไม่เหลืออะไรทิ้งไว้
ข้าไม่สามารถเหลืออะไรได้!! ”

หลังจากพูด คินโซก็ทรุดลง และได้พรรรณาต่อ
เขาเริ่มคิดได้
มีสิ่งหนึ่ง….ที่ทำให้เขาลังเลต่อความตาย และไม่อยากตายตอนนี้
จนกว่าจะได้เห็น รอยยิ้มของเบียทริซ
เธอเป็นคนที่ให้ทุกสิ่งแก่เขาในอดีต
ตอนนี้เขาจะยอมสละทั้งชีวิตและทุกอย่างที่มี….เพื่อให้ได้พบเบียทริซอีกครั้ง

(ตัดเข้าสู่ OP เปิดเรื่อง)

Chapter 1 : Arrival at Niijima Airport
Date : Oct 4 1986
Time : 8.00

หลังจากเดินทางมาไกล
แบทเลอร์ ได้พบกับจอร์จ
ทั้งสองไม่พบกันมาร่วม 6 ปี และกำลังสนทนาเรื่องทั่วๆ ไป
(ช่วงนี้จะเป็นการแนะนำตัวละครที่เข้ามาทักทายทีละคน ขอสรุปย่อๆ )
อุชิโรมิยะ ฮิเดโยชิ พ่อของจอร์จ
อุชิโรมิยะ เอวา แม่ของจอร์จ
อุชิโรมิยะ คิริเอะ ภรรยาคนที่สองของรูดอลฟ์ แม่เลี้ยงของแบทเลอร์ ซึ่งแม่จริงๆ ของเขาตายไปเมื่อ 6 ปีก่อน
อุชิโรมิยะ รูดอร์ฟ พ่อของแบทเลอร์

ในระหว่างรอเครื่องบิน ก็มีรายงานสภาพอากาศที่อาจเกิดไต้ฝุ่น
และมีสมาชิกในเครือญาติมาเพิ่ม
อุชิโรมิยะ โรซ่า แม่ของมาเรีย
อุชิโรมิยะ มาเรีย ลูกพี่ลูกน้องของแบทเลอร์ ติดนิสัยพูด อูว์ (Uu)
เนื่องจากมาเรียเพิ่งอายุ 9 ขวบและจำหน้าแบทเลอร์ไม่ได้ จึงมีการแนะนำให้เรียกชื่อ

เมื่อถึงเวลา ทุกคนก็ขึ้นเครื่องบิน
ดูเหมือนแบทเลอร์จะกลัวเครื่องบินตก จนออกอาการ

เครื่องบินมาถึงที่หมาย จากที่นี่ถ้านั่งเรือต่อจะใช้เวลา 30 นาที
ระหว่างนั้นทุกคนก็ได้พบกับ อุชิโรมิยะ เจสซิก้า ลูกสาวของอิเดโยชิและเอวา
หลังจากสนทนาสักพัก ทุกคนก็ขึ้นเรือ
ซึ่งแบทเลอร์ดูเหมือนจะไม่ชอบเรือเอาเสียเลย แต่จำใจต้องขึ้น

Chapter 2 : Arrival at Rokkenjima
Date : Oct 4 1986
Time : 10.30

มาถึงที่เกาะของครอบครัวอุชิโรมิยะ โดยมีคนรับใช้เกนจิ และคนรับใช้ โกดะ รออยู่
แบทเลอร์เพิ่งพบเขาครั้งแรก เพราะเขายังทำงานไม่ถึง 6 ปี
ถึงแบทเลอร์จะตัวสูง แต่โกดะสูงกว่าเขาเสียอีก
จอร์จทักทายโกดะ และฮิเดโยชิชมถึงความชำนาญงานของโกดะ

แบทเลอร์ รู้สึกแปลกใจที่ไม่ได้ยินเสียงนกนางนวลบนเกาะ
เขายังหลอกมาเรียว่า เจสซิก้าจับนกไปทำอาหาร (ยากิโทริ และอื่นๆ) หมด ซึ่งมาเรียก็เชื่อสนิท
จนกระทั่งจอร์จมาช่วยอธิบายว่าเพราะอากาศเปลี่ยนทำให้นกนางนวลย้ายถิ่น
ซึ่งเขาดูจะเป็นพี่เลี้ยงที่ดี
ทุกคนเดินทางต่อจนมาถึงแมนชั่น
ได้พบกับคนรับใช้เด็กหนุ่มอีกคน ชื่อ คานอน
เหล่าคนรับใช้พาทุกคนไปบ้านพักรับรอง (Guesthouse)

Chapter 3 : Guesthouse
Date : Oct 4 1986
Time : 12.00

ในห้องพักของกลุ่มพี่น้องในบ้านพักรับรอง พวกแบทเลอร์คุยเรื่องในอดีตเมื่อ 6 ปีก่อน
มีคนมาเคาะประตู เจสซิก้าจึงเรียกแชนนอนเข้ามา
แบทเลอร์เพิ่งได้พบกับแชนนอนหลังจากที่ไม่ได้เห็นมา 6 ปี
เธอเป็นหญิงสาวที่สวยมาก และแบทเลอร์แซวเรื่องน่าอกเธอ
เขาตั้งใจจะจับหน้าอกของแชนนอน (ด้วยความทะลึ่ง) ซึ่งเธอก็ไม่ขัดขืน

แต่ก่อนจะทำสำเร็จ ก็ถูกเจสซิก้าศอกเข้าที่หัว
เธอบอกว่าเป็นเฟอร์นิเจอร์ จึงไม่สามารถขัดขืนได้
เจสซิก้าจึงสั่งว่า ถ้าแบทเลอร์จะจับหน้าอกเธออีก ให้ตบสวน
แชนนอนรับคำสั่ง
ชื่อของคนรับใช้น่าจะมีชื่อของตัวเอง แชนนอนเป็นชื่อที่ถูกเรียกบนเกาะเท่านั้น
คานอนที่พบก่อนหน้านี้ เป็นคนที่นับถือแชนนอนเป็นพี่สาว
ทุกคนไปยังห้องอาหาร

ระหว่างทางได้พบกับภาพวาดขนาดใหญ่ ซึ่งไม่ได้สังเกตตอนเข้ามา
เป็นภาพที่ถูกวาดโดยช่างศิลป์เมื่อปีก่อน
รูปของหญิงสาวผมทอง และไม่เหมือนชาวญี่ปุ่น
เมื่อสงสัยว่าเป็นรูปใคร มาเรียจึงตอบว่าเบียทริซ ผู้เป็นแม่มด
ซึ่งเธอเคยบอกแบทเลอร์ก่อนหน้านี้ บนเรือ

ผู้ครองรคเคนจิม่าไม่ใช่ตระกูลอุชิโรมิยะ
แต่เป็นแม่มด ที่ชื่อเบียทริซ
เพราะที่นี่เป็นเกาะของแม่มด

ทุกคนมาที่ห้องอาหาร
การรับประทานอาหารเริ่มขึ้นโดยปราศจากผู้นำตระกูล
ทุกคนสนทนากันเรื่องทั่วๆ ไป ตามประสาคนในครอบครัว
เคลาส์ไปเรียกคินโซที่ห้อง จนคินโซตวาดกลับเรื่องที่เขาเคาะประตู
เขาไม่ยอมออกจากห้อง แล้วก็ให้เรียกเกนจิและนันโจมาที่ห้อง
คินโซตะโกนพูดมากเกินไป จนไออย่างต่อเนื่อง
เคลาส์พรึมพรัมกับตัวเอง ว่าคนในห้องไม่ใช่พ่อของเขา เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
ก่อนที่จะลงไปด้านล่าง เขาก็ให้เกนจิและไปหาพ่อของเขา
เกนจิให้ดร. ไปทานอาหาร ส่วนตนจะเข้าไปรับใช้นายท่าน
เขารินเหล้าให้คินโซตามที่สั่ง ซึ่งคินโซก็ให้เกนจิดื่มด้วยในฐานะเพื่อน

คินโซยังด่าลูกหลานของเขา
“เจ้าโง่เคลาส์ ทำเป็นโอ้อวดเรื่องเงิน ใช้เงิน 2 เหรียญทอง ได้กลับมาแค่เหรียญทองเดียว นั่นเหรอที่เรียกว่าทำเงิน
เอวา ก็เป็นทาสของเงิน คิดว่าข้าเป็นไก่เหรอไง เมื่อข้าตายมันคงเอากระดูกข้าไปทำซุป
เจ้าโง่รูดอล์ฟ ก็ทำตัวโง่ๆ กับพวกผู้หญิง
โรซ่าเอาเงินไปให้เจ้าเด็กหนุ่ม ที่เธอไม่รู้หัวนอนปลายเท้า
เจสซิก้า ไร้ความความสามารถและหยาบคาย
จอร์จ ไร้ความสามารถในฐานะผู้ชาย
แบทเลอร์ โง่ ไม่มีความน่านับถือในตระกูล
มาเรีย ก็เป็นที่เกลียดชังของคนทั่วไป

ทำไม, ทำไมสายเลือดของอุชิโรมิยะ ไร้ความสามารถแบบนี้ ไหนล่ะ บุคคลที่เหมาะสมที่จะสืบทอดมรดก ?
อา ข้าเข้าใจแล้ว นี่เป็นคำสาปของเบียทริซ ข้ารู้!!
อา แม่มดทองคำ ตั้งใจจะแก้แค้นข้าใช่ไหม ?
ถ้าเจ้าเกลียดข้า เจ้าสามารถเกลียดข้าได้!
ถ้าเจ้าต้องการจะหนี เจ้าสามารถหนีได้!
ข้าจะไม่ให้เจ้าหนี ข้าจะไม่ให้เจ้าหนี ไม่ให้หนี ไม่ให้หนี!!
เจ้าเป็นของข้า ….. ”
หลังจากพูดต่อ คินโซก็เริ่มไออีก และพูดกับเกนจิต่อ
ที่ห้องอาหารก็ยังคุยกันต่อไป
เมื่อปีก่อน มีคนบอกว่าอายุของปู่เหลือเพียง 3 เดือนเท่านั้น
แต่ดูเหมือนด้วยความตั้งใจทำให้เขายังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

Chapter 4 : Dining Room
Date : Oct 4 1986
Time : 13.30

การชุมนุมของครอบครัวอุชิโรมิยะมีขึ้นทุกปี ในช่วงสัปดาห์แรกของตุลาคม
เนื่องจากมีข่าวว่าปู่กำลังป่วยหนัก สำหรับหลานๆ แล้วคงไม่ต่างจากการพบปะทั่วไป
แต่สำหรับพ่อแม่จะเป็นเหตุผลสำคัญที่ต้องมา

เคลาส์ พ่อของเจสซิก้า นั่งอยู่ทางซ้ายของรูดอร์ฟ
ตามที่พ่อเขาเล่าให้ฟัง ดูเหมือนลุงจะเป็นคนที่มีเจตนาไม่ดีนักและเป็นคนไร้เหตุผล
ถ้าที่พ่อพูดความจริง เขาคงทำเหมือนเป็นผู้นำในฐานะพี่คนโต
คนต่อมาที่เขาพบ คือ ดร.นันโจ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของปู่
แบทเลอร์วิจารณ์เรื่องที่ปู่ตั้งชื่อลูกหลานแปลกๆ แต่ตัวเองกลับชื่อธรรมดา

จากนั้นแบทเลอร์ก็คิดเรื่องของปู่ตามที่เคยได้ยินมา ย้อนไปถึงยุคโชวะ (1926 – 1989)
ในยุคเมจิ (1868 – 1912) และยุคไทโชว (1912 – 1926) ตระกูลอุชิโรมิยะ เป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียง
ปู่เป็นเพียงคนในตระกูลสาขาเท่านั้น ไม่ได้เป็นคนในตระกูลหลัก
เกิดเหตุแผ่นดินไหวในเขตคันโต เมื่อปีที่ 12 ในยุคไทโชว (ประมาณ 1924) คฤหาสถ์ของตระกูลในโอดะวาระพังทลาย
ผลจากแผ่นดินไหว ทำให้เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ เสียทั้งทรัพย์สินมหาศาล และสมาชิกในครอบครัว ตระกูลตกต่ำลง
เหลือเพียงปู่ที่สามารถสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลได้
ในปีที่ 25 ของยุคโชวะ ปู่ก็ทำให้ตระกูลกลับมายิ่งใหญ่ได้ ใช้เวลากว่า 20 ปีหลังจากเกิดแผ่นดินไหว แล้วก็สร้างคฤหาสถ์แห่งนี้ขึ้น ว่ากันว่าเพราะความฉลาดของปู่ที่ติดต่อกับพวกทหารเรือในช่วงสงครามโลก และความสามารถด้านภาษาอังกฤษของเขา

ในห้องอาหารทุกคนพูดคุยกันในเรื่องทั่วไป ป้าคุมาซาวะแสดงความสามารถในการใช้มุกตลกจากปลาแม็คเคอร์เรล สร้างความครื้นเครงในห้องอาหารอย่างมาก

หลังทานอาหารเสร็จ พวกผู้ใหญ่ไปคุยกันต่อในห้องรับแขก หลังคุยกันเรื่องทั่วไป ก็มีการกระทบกระทั่ง ระหว่างเอวาและเคลาส์ ทำให้บรรยากาศตึงเครียดมากยิ่งขึ้น และเกิดการโต้เถียงกันระหว่างบางคน เช่น เอวาดูถูกนัตสึฮิในฐานะคนนอก เป็นต้น

Chapter 5 : Epitaph on the Portrait
Date : Oct 4 1986
Time : 13.30

อีกด้านเด็กทั้ง 4 ออกมาข้างนอก จนเดินผ่านรูปภาพของเบียทริซในห้องโถง แบทเลอร์สงสัยกับภาพนี้
มาเรียถามแบทเลอร์ ซึ่งเขาดูเหมือนจะสงสัยในการมีตัวตนของแม่มด

ทำให้แบทเลอร์ตอบมาเรียไปว่าเขาไม่ได้สงสัยในสิ่งที่มาเรียพูด
ข้อความที่เขียนไว้ใต้รูป “My most loved witch Beatrice”
ซึ่งคิดว่า ปู่ของพวกเขาเป็นคนเขียนข้อความนี้ไว้
ทุกคนเริ่มพูดถึงเรื่องบอกเล่า เกี่ยวกับทองที่ปู่ซ่อนไว้ ว่ากันว่ามีมากถึง 10 ตัน
ช่วงหลังสงคราม คินโซร่ำรวยจากเสี่ยงโชคจำนวนมหาศาล แต่เงินลงทุนเขาได้มาจากไหนนั้น ไม่มีใครทราบ
ซึ่งเขาไม่ได้มีพันธะกับคนร่ำรวย จึงไม่น่ามีใครให้เขายืมเงินได้
เมื่อมีคนตั้งคำถามนี้กับคินโซ เขาได้แต่ตอบว่า “วันหนึ่ง ข้าได้พบแม่มดทองคำ เบียทริซ”

การที่เรียนรู้ศาสตร์มนต์ดำ ทำให้เขาทำพิธีอัญเชิญ แม่มดทองคำ เบียทริซมา และมอบทองคำ 10 ตันแก่เขา
คินโซได้ใช้ในการฟื้นฟูตระกูลอุชิโรมิยะ นั่นเป็นเรื่องเล่าที่พ่อแม่ เล่าให้เหล่าเด็กๆ ในตระกูลฟัง
เคยมีญาติเชื่อว่าคินโซน่าจะซ่อนทองไว้ที่ไหนสักแห่ง และทำการค้นหาทั่วเกาะ
เมื่อมีคนหายตัวไประหว่างค้นหาในป่า ย่าก็ได้กระจายเรื่องแม่มดที่อาศัยในป่า และกลายเป็นเขตหวงห้ามไป
ในกลุ่มของแบทเลอร์มีการตั้งข้อสันนิษฐานว่าทองน่าจะอยู่บนเกาะแต่แรก ทำให้ปู่ซื้อเกาะแห่งนี้

มีคนตั้งข้อสงสัยว่า ในประวัติศาสตร์ มีทองคำทั้งโลกอยู่ 1 แสนตัน การที่คนๆ หนึ่งจะมีมากถึง 10 ตัน คงเป็นไปไม่ได้
ถ้าเป็น 10 กิโลกรัมก็ยังพอน่าเชื่อถือได้ ซึ่ง 1 กิโลกรัมจะมีค่าในยุคนั้นถึง 2 ล้านเยน
สมมุติว่าทอง 10 ตันเป็นเรื่องจริง จะมีค่ากว่า 2 หมื่นล้านเยน
ว่ากันว่าคนทำงานทั้งชีวิตในยุคนั้นก็ได้เพียง 200 ล้านเยนเท่านั้น
เจสซิก้าตั้งสมมุติฐานว่า ใครบางคนอาจให้ทองจำนวนมากแก่ปู่ ทำให้ปู่เรียกเธอว่าแม่มด
ทุกคนก็เริ่มคุยเรื่องยายแก่ที่มอบเงินให้ปู่ต่อ จนกระทั่งมาเรียค้านขึ้นมาว่า เบียทริซมีตัวตนจริง
เธอดูโกรธและพยายามแย้งแบทเลอร์ ว่าเบียทริซมีตัวตน
เจสซิก้าให้แบทเลอร์ยอมเธอไปก่อน เนื่องจากเป็นเด็ก แบทเลอร์จึงบอกมาเรียว่าเขาก็เชื่อ

แชนนอนเดินผ่านมาพอดี เมื่อถามเรื่องเบียทริซ แชนนอนบอกว่าเธอมีตัวตนและเป็นรักแรกของปู่
ทุกคนก็ออกไปข้างนอกกันต่อ

ด้านผู้ใหญ่ก็ถกเถียงเรื่องทองคำของปู่กันต่อ มีทั้งคนที่คิดว่ามี และคนที่ไม่เชื่อ
แล้วยังมีคนสงสัยว่าเคลาส์ พี่ใหญ่ของตระกูลอาจจะรู้สถานที่ซ่อนทองคำแล้ว
จึงมีการตั้งเงื่อนไขการแบ่งมรดกจากเคลาส์ในหลายๆ แบบ ซึ่งดูเขาจะไม่พอใจ
เพราะถ้าทองคำไม่มีจริง จะกลายเป็นเขาต้องจ่ายเงินแก่น้องทั้ง 3 เอง
ยังมีการถกเถียงเรื่องนี้กันต่อ ซึ่งแต่ละคนล้วนแต่มีเหตุผลที่ต้องการเงินทั้งนั้น

Chapter 6 : Sandy Beach
Date : Oct 4 1986
Time : 15.30

ระหว่างไปที่ชายหาด กลุ่มของแบทเลอร์ก็พยายามไขปริศนาที่เขียนไว้บนแท่น
หลายเรื่องถูกยกขึ้นมา เช่น บ้านเกิดของตระกูลอุชิโรมิยะ ก่อนที่จะเกิดสงครามถูกตั้งแถวโอดะวาระ
ซึ่งนำไปโยงกับข้อความที่พบ
เมื่อกล่าวถึงเรื่องการบูชายัญ เจสซิก้าและแบทเลอร์นำมาพูดอย่างตลกขบขัน ทำให้มาเรียไม่พอใจ
เรื่องแม่มดอาจเป็นความฝันของมาเรีย ทำให้เธอปักใจเชื่อแบบนั้น

มีการเล่าเรื่องผี ซึ่งคนรับใช้ในสมัยก่อนพบบนเกาะ
กล่าว่า เมื่อแม่มดมาที่แมนชั่น จะทำให้ประตู, หน้าต่าง และไฟเปิดปิดเอง
แบทเลอร์และเจสซิก้า ดูเหมือนจะยังไม่เชื่อเรื่องเบียทริซอีก ทำให้มาเรียพูดเรื่องคำสาปขึ้น
เธอจึงให้เครื่องรางกับแบทเลอร์และเจสซิก้า ซึ่งมีสัญลักษณ์แมงป่อง ซึ่งจะช่วยปกป้องเวทมนตร์ได้
ทั้งคู่รับเครื่องรางไว้ แม้จะไม่ค่อยเชื่อเรื่องเวทมนตร์ก็ตาม
ระหว่างที่ทานคุกกี้ แบทเลอร์และเจสซิก้าก็ถามมาเรียเรื่องมนต์ดำต่อ ดูเหมือนเธอจะมีความสุขที่ได้ตอบเรื่องนี้

อีกด้าน จอร์จและแชนนอนคุยกันอย่างสนุกสนาน
เมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี จึงชวนกันกลับแมนชั่น พายุไต้ฝุ่นน่าจะมาตามที่ประกาศก่อนหน้านี้
ระหว่างกลับเข้าแมนชั่น ได้ผ่านสวนกุหลาบ มาเรียได้เก็บกุหลาบมาดอกหนึ่ง
มาเรียได้เห็นแม่ของเธอ โรซ่า จึงได้วิ่งเข้าไปหา
ระหว่างที่คุย โรซ่าไม่พอใจที่มาเรียพูดคำว่า Uuu บ่อยๆ จึงได้ตวาดให้เธอหยุด

แม้จะพูดให้หยุดหลายครั้ง มาเรียก็ไม่ยอม และยังพูดอยู่เรื่อยๆ เหมือนประชด
ทำให้โรซ่าตบเธอ แต่มาเรียก็ยังคงไม่หยุด
จึงต้องตบซ้ำอีก คราวนี้มาเรียเริ่มน้ำตาซึม
กุหลาบของมาเรียหายไปในระหว่างนั้น
แบทเลอร์บอกว่ามาเรียยังเด็กและขอให้โรซ่าอย่าถือสา
ด้านโรซ่าขอเธอคุยกับมาเรียตามลำพัง
แบทเลอร์พยายามเถียงเรื่องมาเรีย แต่โรซ่าก็ค้าน เธอไม่อยากให้ลูกสาวเธอติดคำนี้อีก
ซึ่งตอนนี้ก็ไม่อยากมีเพื่อนร่วมชั้นเรียน อยากสนิทกับเธอเพราะคำพูดและพฤติกรรมประหลาด
ทุกคนจำใจที่จะเข้าไปในบ้านรับรอง ส่วนมาเรียยังคงอยู่ในสวนกุหลาบตามลำพัง

คินโซมองที่กระจก ฝนเริ่มตกลงมาเรื่อยๆ
“….เธอมาช้านะเบียทริซ”
ไม่มีใครอยู่ที่ปลายสายตาของคินโซ
” เรามาเริ่มกันดีไหม? เธอและชั้น, งานเลี้ยงที่มหัศจรรย์ ตอนนี้เกาะแห่งนี้ได้ตัดขาดจากโลกภายนอกแล้ว”
“ไม่มีใครขัดขวางพิธีของข้า มีคนมากพอที่จะบูชายัญ เด็กของข้าทั้ง 4, คนใกล้ชิดพวกเขาอีก 3, หลานอีก 4, ข้า แขกของข้า และคนรับใช้”
“เธอจะกินได้มากเท่าที่เธอต้องการ กุญแจแห่งชะตากรรมจะเริ่มรูเล็ตแห่งปีศาจ และเลือกบูชายัญ”
“ถ้ารูเล็ตเลือกข้า ข้าก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการบูชายัญ ข้าจะเสี่ยงกับความบ้าคลั่งนี้ และสร้างปฏิหารย์ครั้งใหญ่”
“อันดับแรก ข้าจะคืนมรดกของครอบครัวอุชิโรมิยะ เธอเอามันไปซะ!!”
เขาเปิดหน้าต่างอย่างรุนแรง และดึงแหวนผู้นำตระกูลออกจากนิ้ว จากนั้นโยนไปข้างนอกกลางสายฝน
สายฟ้าร้องก้องกังวาล ราวกับตอบรับแหวนวงนี้
คินโซได้กล่าวร้องเรียกเบียทริซต่อไป ….

Chapter 7 : Letter and Umbrella
Date : Oct 4 1986
Time : 18.00

รายการทีวีถูกเปลี่ยนเป็นรายงานข่าวเกี่ยวกับอุทกภัย และเตือนให้ระวังภัยในบางพื้นที่จากฝนที่ตกต่อเนื่อง
คนในบ้านพักรับรองก็เริ่มคุยเกี่ยวกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป แต่ก็ไม่ใช่เรื่องซีเรียสนัก
ระหว่างรอมื้อเย็น คานอนก็ได้มาเชิญคนในตระกูลอุชิโรมิยะ มาทานอาหารค่ำในคฤหาสถ์
เมื่อทุกคนออกมา คานอนก็ได้ถามถึงมาเรีย ซึ่งทุกคนเข้าใจว่าอยู่กับโรซ่า
โรซ่าหลับบนโซฟาในคฤหาสถ์มาสักพักแล้ว เกนจิได้นำผ้าห่มมาให้เธอ ทำให้เธอตื่นมา
เธอถามเวลา ซึ่งเกนจิตอบว่าเป็นเวลา 6 โมงเย็น
เมื่อสังเกตลมที่พัดแรงและฝนกำลังตก เกนจิจึงบอกเรื่องไต้ฝุ่นที่กำลังจะมาด้วย
โรซ่าไม่เห็นมาเรีย และรู้นิสัยที่ดื้อดึงของมาเรียดี ลูกสาวเธอจะไม่ไปไหน แม้ว่าฝนตกก็ตาม
เธอเริ่มรู้สึกผิดที่คุมอารมณ์ไม่ได้ และร้องเรียกมาเรีย
ก่อนที่จะผลักเกนจิที่ยืนขวางอยู่ และรีบวิ่งไปตามทาง

ด้านคานอนบอกแบทเลอร์ว่า ตอนเขามาก็ไม่ได้สังเกตตรงสวนกุหลาบ และมาเรียไม่อยู่ในแมนชั่น
กลุ่มแบทเลอร์ก็ออกตามหามาเรีย และพบโรซ่า ทุกคนจึงออกตามหาเธอ
ไม่นานนัก แบทเลอร์ก็เห็นร่มสีขาวในสวนกุหลาบ มาเรียเป็นคนถืออยู่
เธอกำลังหากุหลาบของเธอที่หายไป เมื่อโรซ่ามา ก็ได้ทิ้งร่มของตัวเองแล้วไปกอดมาเรีย
โรซ่ากล่าวขอโทษมาเรีย จากนั้นพอมาเรียบอกว่าหิว ทุกคนก็เข้าไปในแมนชั่น

ในคฤหาสถ์โรซ่าไม่ได้ดุด่ามาเรียเรื่องคำว่า “อูว์” ที่ติดปากเธออีก
มีคนสงสัยว่ามาเรียพกร่มไปด้วยเหรอ เธอจึงตอบว่าไม่ได้พกไปและยืมมา
คนให้ยืมร่มคันนั้น คือ …. เบียทริซ ……
โรซ่าถามซ้ำ เมื่อได้คำตอบเดิม เธอก็ไม่ได้ถามซ้ำอีก เธอคิดว่ารอถามคนอื่นจะดีกว่า

ด้านคินโซ เคลาส์ได้เคาะประตูนอกห้องค้นคว้า ชวนพ่อเขาไปทานอาหารกับคนในตระกูล
นันโจได้พยายามเกลี่ยกล่อมให้เขาไปทานอาหารข้างล่าง แต่ก็ปฏิเสธ ดูเขาจะจดจ่อกับกระดานหมากรุกที่กำลังเล่นกับนันโจ
นันโจจึงออกไปทานอาหารคนเดียว และพบเคลาส์ที่กำลังเคาะประตูห้องอยู่
ถึงเคลาส์จะเรียกต่อ ก็ไม่มีการตอบสนอง
คินโซได้พึมพัมกับตัวเองว่า เขาไม่ต้องการทานมื้อเย็น และไม่ต้องการพบลูกตัวเอง เขาต้องออกจากห้องเมื่อเบียทริซคืนชีพ
หรือ เมื่อตัวเขาถูกเลือกในการบูชายัญเท่านั้น คินโซยังคงจ้องมองที่กระดานหมากรุก คิดถึงตัวหมากที่จะเดินต่อไป

ในห้องอาหารจึงเริ่มทานกันโดยปราศจากผู้นำตระกูล
โรซ่าจึงถามว่าใครให้มาเรียยืมร่ม เธอถามทีละคน แต่ทุกคนต่างบอกว่ากำลังติดงานอยู่
ระหว่างนั้นถึงมาเรียพยายามบอกว่าเบียทริซเป็นคนให้ โรซ่าก็ไม่ได้สนใจ
ส่วนคินโซก็เล่นหมากรุกกับนันโจมาตลอด เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะนำร่มมาให้
โรซ่าสับสนกับเรื่องนี้ ไม่น่าจะมีใครปิดบังเรื่องนี้
เมื่อเธอเริ่มพูดด้วยอารมณ์ และถามว่าใครมอบร่มให้มาเรีย มาเรียก็ยืนยันเสียงแข็งว่าเบียทริซ
ในห้องอาหารต่างเงียบกริบไปชั่วขณะ
เคลาส์พูดเหมือนเขาเชื่อในเรื่องนี้ เขาหัวเราะและทำหน้าเหมือนตลกกับสิ่งที่เธอเล่า แต่ดูเหมือนมาเรียจะพอใจกับท่าทีของเคลาส์

คุมาซาวะและแชนนอน เข็นรถเข็นจากห้อง ไปหาเกนจิและคานอนที่อยู่ระหว่างทางไปครัว จากนั้นถามเรื่องร่ม
เกนจิก็ตอบว่าไม่ใช่เขา และคุยกันต่อ
ทุกคนได้ยินเสียงปรบมือจากทางเดิน โกดะมาจากห้องอาหาร เขามาตามอาหาร เขามาเร่งให้เสริ์ฟอาหารตามเวลาที่กำหนด
โกดะเหมือนกล่าวโทษเกนจิในเรื่องนี้ ทำให้คานอนจ้องไปที่โกดะ เขาไม่พอใจที่โกดะต่อว่าคนที่เขาเคารพ
เกนจิให้คานอนไปทำหน้าที่ของตัวเองและฟังคำสั่งโกดะ
ด้านโกดะนำรถเข็นจากแชนนอน และผลักรถไปยังครัว
แชนนอนและคุมาซาวะก็ขอตัวไปครัวเช่นกัน
เหลือแต่คานอนกับเกนจิ คานอนจึงถามว่า ว่าท่านเบียทริซกลับมาใช่ไหม ?
เกนจิตอบว่าไม่รู้ แต่ต้องไปแจ้งให้นายท่านทราบเรื่องนี้

ระหว่างทานอาหารเสร็จ ทุกคนก็อยู่บนโต๊ะ คุยในเรื่องต่างๆ กันต่อ
เมื่อดินเนอร์จบลง มาเรียได้หยิบของในกระเป๋าออกมา
เป็นจดหมายสไตล์ยุโรป
นัตสึฮิจำได้ว่าเป็นจดหมายของคินโซ
เมื่อขอจดหมายจากเธอ มาเรียก็ไม่ให้ มีคนบอกเธอให้มาอ่านให้ทุกคนฟัง
มาเรียบอกว่าเบียทริซให้มา ตอนนี้เธอเป็นผู้ส่งสารของแม่มด

เธอแกะจดหมายออก ซึ่งถูกผนึกด้วยตราประจำตระกูล เป็นสัญลักษณ์ปีกอินทรีย์ข้างเดียว
มีคนเคยได้จดหมายจากคินโซมาก่อน ทำให้รู้ว่าเป็นของคินโซ
แว๊กซ์ปิดซองจดหมาย จะถูกกดด้วยแหวนประจำตระกูลบนนิ้วของคินโซ ทำให้เป็นรอยนี้
แต่เนื่องจากทุกคนในตระกูลเคยได้จดหมายจากคินโซ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะทำปลอมขึ้นมา
เคลาส์กล่าวแย้งนันโจ ที่คิดว่าเป็นจดหมายของคินโซ

เมื่อถามมาเรีย เธอบอกว่าได้มาจากเบียทริซที่ให้ร่มเธอ
และยังบอกให้เธอนำมาอ่านหลังจากทานอาหารเสร็จ
พอบอกให้มาเรียอ่านจดหมาย น้ำเสียงของเธอดูต่างไปจากเดิม

   “ยินดีต้อนรับสู่รคเคนจิม่า เหล่าสมาชิกในครอบครัวอุชิโรมิยะ ข้ารับใช้ท่านคินโซในฐานะผู้ให้คำปรึกษา ชื่อของข้า คือ เบียทริซ
ข้ารับใช้คินโซตามสัญญาที่ทำขึ้นมานานแสนนาน สัญญานี้ประกาศให้สิ้นสุดลงโดยท่านคินโซ นับแต่วันนี้ โปรดฟังจดหมายในฐานะนักเล่นแร่แปรฐานประจำตระกูลของบ้านนี้
ตอนนี้ มีสัญญาหนึ่งที่ข้าไม่ได้อธิบายแก่พวกเจ้า
ตัวข้า เบียทริซ ให้ยืมทองจำนวนมหาศาลแก่ท่านคินโซ ภายใต้เงื่อนไข
เมื่อสิ้นสุดสัญญา ทองทั้งหมดจะกลับมาสู่ข้า และข้าจะได้รับชีวิตครอบครัวอุชิโรมิยะทั้งหมดเป็นดอกเบี้ย
เมื่อได้ยินแบบนี้ เจ้าคงจะโศรกเศร้ากับสิ่งที่คินโซทำ อย่างไรก็ตาม ท่านคินโซได้เพิ่มกฏพิเศษ เพื่อให้โอกาสที่พวกเจ้าจะได้รับความมั่นคั่งและชื่อเสียง
กฏพิเศษ คือ เมื่อสัญญานี้สมบูรณ์ เบียทริซจะได้รับสิทธิ์ในการครอบครองทองและดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ถ้ามีคนค้นพบทองที่กล่าวถึง เบียทริซจะตัดขาดสิทธิ์ที่จะได้รับทองไปตลอดกาล
บัดนี้ การเริ่มเก็บดอกเบื้ยควรจะเริ่มต้น แต่ถ้าใครสักคนทำตามกฏพิเศษได้ ข้าจะให้แม้แต่ดอกเบี้ยที่ข้าได้เก็บไป
นอกจากนั้น ขั้นแรกของการรวบรวม ข้าได้รับสัญลักษณ์ของผู้สืบทอด แหวนของผู้นำตระกูลอุชิโรมิยะ เจ้ามั่นใจได้โดยสัญลักษณ์บนแว๊กซ์นี้ …. “

เคลาส์ และคนอื่นๆ ต่างไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น นันโจบอกว่าเขาสังเกตว่าแหวนไม่อยู่บนมือคินโซ
แต่ก็ยังไม่มีใครเชื่อ ทุกคนต้องการพิสูจน์ความจริงจากคินโซเอง แม้ว่าอาจจะเป็นแผนของคินโซก็ตาม
เหตุผลหนึ่งที่เคลาส์ไม่พอใจเพราะในสัญญา ใครก็สามารถรับทองได้ ถ้าเขาสามารถค้นพบก่อนตัวเขาซึ่งเป็นพี่ใหญ่ในตระกูล

ข้อความที่เหลือในจดหมาย
    “…..สถานที่เก็บทองคำ ท่านคินโซได้ประกาศไว้ในคำจารึกด้านร่างของภาพวาดของข้า ผู้ที่อ่านคำจารึกเหล่านั้นก็จะรู้เท่าเทียมกับข้า
ถ้าเจ้าจะค้นหาทองคำ ข้าจะให้ทุกสิ่งกลับคืนแก่เจ้า  จงสนุกกับการประลองเชาว์ปัญญากับท่านคินโซ
ข้าภาวนาจากก้นบึ้งของหัวใจ ให้ราตรีนี้เป็นค่ำคืนที่เปี่ยมไปด้วยปัญญาและความสง่างาม
— Beatrice the Golden.”

เคลาส์, รูดอร์ฟ และเอวา เคาะประตูและเรียกคินโซที่หน้าห้อง
ด้านคินโซกำลังทานอาหารในห้อง  โดยมีเหล่าคนรับใช้อยู่ในห้องด้วย
เขาไม่สนใจเสียงของพวกลูกของเขา
คินโซหัวเราะและร้องเรียกเบียทริซ พูดเรื่องรูเล็ตที่กำลังหมุนเช่นเคย …..

Chapter 8 : Legend of the Gold
Date : Oct 4 1986
Time : 22.00

กลุ่มแบทเลอร์วิจารณ์เกี่ยวกับท่าทีของพวกพ่อแม่ของเขา ที่เหมือนร้อนรนเรื่องมรดก

สาเหตุที่ปู่ไม่อยากมาพบ อาจเป็นเพราะเรื่องมรดกก็ได้
จอร์จดูจะเข้าใจเหตุผลของญาติๆ เขาดี
เจสซิก้า ไม่พอใจเกี่ยวกับเรื่องความวุ่นวายเพราะมรดกนี้ อย่างเห็นได้ชัด
บทสนทนาก็จบลง โดยปล่อยให้เป็นเรื่องของพวกผู้ใหญ่
มาเรียไม่อยู่ในกลุ่ม เธอคงไปที่ภาพวาดของเบียทริซ

กลุ่มแบทเลอร์ยังคงคุยกันที่ห้องนั่งเล่น เขาถามความเห็นคิริเอะ
เธอไม่มีความเห็นเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับนัตสึฮิ
ทุกคนหวาดระแวง เพราะในบรรดาพี่น้องทั้ง 4 ที่มีสิทธิรับมรดก
ตอนนี้กลับมีคนที่ 5 มาชิงมรดก
เธอยังคิดว่าเบียทริซอาจจะเป็นนักฆ่าของปู่ที่มาทำให้ผู้รับมรดกหวาดกลัวก็เป็นได้

สมมุติฐานเรื่องคนที่ 19 ถูกตั้งขึ้น
ถ้ามีคนที่ 19 เธอจะซ่อนที่ไหน ?
ทำไมถึงนำจดหมายมาให้มาเรียเป็นผู้ส่งสาร ?
ทำไมถึงไม่ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ?
ด้วยเหตุผลต่างๆ ทำให้เชื่อว่าเบียทริซน่าจะเป็น 1 ใน 18 คนในแมนชั่นแห่งนี้

เมื่อแยกย้ายกันเข้าห้อง
ด้านแบทเลอร์ คิริเอะ และรูดอล์ฟ
รูดอล์ฟก็พูดขึ้นมาว่า เขาอาจถูกฆ่าในคืนนี้

นัตสึฮิยังคงมีสีหน้าที่ไม่สบายใจ
เธอยังกังวลเรื่องที่เบียทริซประกาศจะชิงทั้งทองและคนในตระกูล
นั่นหมายถึง เคลาส์คนที่มีสิทธิ์รับมรดกมากที่สุด ก็อาจโดนปองร้าย
บางทีคินโซอาจให้คนรับใช้ อย่างแชนนอน มอบจดหมายให้มาเรียก็ได้
เธอยังเชื่อสามีของเธอที่บอกว่าทองนั้นไม่มีจริง เป็นเพียงภาพลวงตาที่คินโซสร้างขึ้น
แต่คำพูดของเธอไม่ได้ถึงเคลาส์เช่นกัน เขาต้องการสู้กับปัญหาเหล่านี้ตามลำพัง

เคลาส์พานัตสึฮิมาที่ห้องแห่งหนึ่ง เขาต้องการแสดงบางอย่างให้นัตสึฮิดู
ในห้องมืด เธอได้เห็นทองคำแท่งก้อนหนึ่งวางอยู่
ทองคำที่บริสุทธ์ จะต้องถูกทางธนาคารสลักยืนยัน แต่ทองก้อนนี้กลับไม่มี
สัญลักษณ์อินทรีย์ปีกเดียวถูกสลักไว้บนทองแท่ง
เคลาส์บอกว่า เขาพบทองคำแหล่งที่ซ่อนทอง ซึ่งความเชื่อเกี่ยวกับเบียทริซเป็นความจริง
นัตสึฮิเริ่มสับสน ในเรื่องทองที่เคลาส์ไม่เคยบอกความจริงเธอ
เธอต้องการสนับสนุนเคลาส์ในฐานะภรรยา
แต่เขากลับต้องการรับมือกับเหล่าพี่น้องเพียงลำพัง
เคลาส์อธิบายว่าไม่อยากให้นัตสึฮิต้องปวดหัวกับพี่น้องในตระกูลของตน และให้เธอไปพักผ่อน

นัตสึฮินั่งคิดเรื่องต่างๆ ในอดีต จนกระทั่งเจสซิก้ามาพบ
นัตสึฮิบอกเจสซิก้าว่าเธอแค่ปวดหัวเท่านั้น ไม่ต้องเป็นกังวล
ระหว่างที่เจสซิก้าจะไปที่อื่น เธอล้วงกระเป๋าแล้วพบเครื่องรางที่มาเรียมอบให้
มอบให้แก่นัตสึฮิ และบอกให้เธอห้อยไว้ที่ประตูห้อง

แบทเลอร์และจอร์จดูทีวีที่ห้องรับแขก มาเรียนอนบนโซฟา ตอนนี้เป็นเวลา 4 ทุ่ม
โรซ่ามารับมาเรีย เมื่อปลุกเธอ เธอก็หลับไปอีก
จอร์จแบกมาเรียขึ้นหลัง แล้วไปที่บ้านพักรับรอง พร้อมกับคนอื่นๆ
ระหว่างทางแชนนอนออกมาจากห้องของคนใช้ เธอนำทางให้
โรซ่ากางร่มให้จอร์จ
ทุกคนจึงไปที่บ้านพักรับรอง

แชนนอนและเกนจิเข้าเวรดึกที่บ้านพัก โดยคำสั่งของเคลาส์
แชนนอนและคานอน เฝ้าด้านนอกบ้านพัก
เกนจิและคุมาซาวะในบ้านพัก
ส่วนโกดะที่ชำนาญเรื่องงานรับใช้อยู่ในแมนชั่น
ซึ่งถูกสลับหน้าที่ทั้งหมด
บางทีอาจเป็นเพราะจดหมายของเบียทริซ

ระหว่างที่คุยในห้อง จอร์จก็ออกจากห้อง
ทำเหมือนจะมีธุระในแมนชั่น โดยให้แชนนอนนำทาง

จอร์จคุยกับแชนนอนตามลำพัง
คนรับใช้ที่นี่จะถูกเติมคำว่า “นอน” ต่อท้าย เช่น มานอน รีนอน เป็นต้น
ส่วนใหญ่จะรับใช้ตระกูลอุชิโรมิยะเพียง 3 ปีเท่านั้น
แต่แชนนอนทำงานรับใช้มากกว่า 10 ปี
งานที่นี่หนักก็จริง แต่ก็จ่ายค่าแรงจำนวนมาก ทำเพียง 3 ปีก็ได้เงินมากพอที่จะเปิดบริษัทได้เลย
แชนนอนทำงานมานาน และได้รับเงินจำนวนมาก (หลายล้านเยน)
เธอไม่มีสิ่งที่ต้องการซื้อ จะรับใช้ตระกูลอุชิโรมิยะต่อไป และเธอพอใจที่ได้ทำงานที่นี่

จอร์จไม่พอใจกับความคิดนี้ และเรียกชื่อเดิมของแชนนอน คือ ซาโยะ
เขาเรียกเธอซาโยะจัง และ(สั่ง)ให้เธอเรียกเขาว่า จอร์จซัง แทนที่จะเป็น ท่านจอร์จ
เขาหยิบกล่องเล็กๆ ออกมา และหยิบของในนั้นมอบแก่ซาโยะ
เธอได้แต่เขินอาย แต่ก็รับไว้ตามที่จอร์จขอ (สั่ง)
จากนี้ไป เขาจะให้เธอตัดสินใจเองว่า จะใส่แหวนที่นิ้วของเธอหรือไม่
ซึ่งเขาให้เธอ บอกเขาในวันพรุ่งนี้
จอร์จกำลังจะกลับไปที่บ้านพักพร้อมแชนนอน แต่เธอมีสิ่งที่ต้องทำให้แมนชั่นก่อน
เขารู้ดีว่าเธอกำลังเขินอายและอยากอยู่คนเดียว ทั้งคู่จึงแยกย้ายกันไป

Chapter 9 : Night of Storm
Date : Oct 4 1986
Time :  ???

หลังจากคุยกับจอร์จ แชนนอนที่กำลังอาย มาที่ห้องคนรับใช้เพื่อช่วยงานโกดะที่คฤหาสถ์ เขาพอใจที่เธอมา โกดะจึงให้เธอเดินสำรวจในคฤหาสถ์ ส่วนเขาจะรอรับคำสั่งที่นี่

ระหว่างที่แชนนอนตรวจตราในสถานที่แห่งนี้ เธอพบกับ ….. ผีเสื้อทองคำ ?

(บทนี้สั้นมาก เป็นการแสดงตำแหน่งของตัวละครต่างๆ ในช่วงประมาณเที่ยงคืนเท่านั้น)

เคลาส์, เอวา, ฮิเดโยชิ, รูดอล์ฟ, คิริเอะ, โรซ่า อยู่ในห้องดินเนอร์
แชนนอน อยู่ที่ทางเดิน ในคฤหาสถ์
โกดะ อยู่ในห้องคนใช้ ในคฤหาสถ์
คุมาซาวะ อยู่ในห้อง บ้านพักรับรอง
เกนจิและคานอน อยู่ในห้องคนใช้ ในบ้านพักรับรอง
นันโจ (ไม่ระบุสถานที่ พื้นหลังเป็นสีดำ)
จอร์จ, แบทเลอร์, เจสซิก้า ในห้องพัก ในบ้านพักรับรอง
คินโซ อยู่ในห้องค้นคว้าของเขา
นัตสึฮิ, มาเรีย ไม่ปรากฏสถานที่ (คงเพราะนอนแล้ว)

Chapter 10 : The Six Choosen by The Key
Date : Oct 5 1986
Time : 6.00

ใกล้รุ่งสาง เกนจิและคานอนตรวจความเรียบร้อยในบ้านพัก
ทั้งสองกลับไปที่แมนชั่น เพื่อช่วยโกดะผู้เพียบในการเตรียมอาหารเช้า
เมื่อทั้งสองถึงที่ ก็ทำงานเปิดผ้าม่าน
หลังจากนั้นก็ไปหาโกดะ
แต่ห้องครัวกลับว่างเปล่า เขานอนตื่นสายงั้นเหรอ ?

คานอนจึงยกหูโทรศัพท์เพื่อโทรปลุก
ก็ไม่ได้ยินเสียงสัญญาณโทรศัพท์
ระบบอาจจะขัดข้องเพราะฟ้าผ่าเมื่อคืน
จึงไปตามเขาที่ห้องแทน

นัตสึฮิตื่นขึ้นมา และเริ่มรู้สึกดีขึ้นจากเมื่อคืน
ที่ประตูห้องมีเครื่องรางแขวนไว้ นั่นอาจทำให้เธอหลับสบายทั้งคืนก็ได้
เธอหยิบเครื่องรางนั้นจากประตู จากนั้นก็มีเสียงเคาะประตู
เกนจิมาหาเธอ บอกเรื่องโทรศัพท์ขัดข้อง
อาหารเช้าก็ยังไม่ได้ถูกเตรียม ซึ่งเกนจิยังไม่เห็นโกดะ

นัตสึฮิจึงออกจากห้องไปพร้อมกับเกนจิ แต่เมื่อหันมาที่ประตู…
มีรอยสีแดงดำ เหมือนมีคนเอามือที่เปื้อนสีมาแปะประตู ทำให้มีรอยมือเต็มไปหมด
เกนจิก็เพิ่งสังเกตเห็นเช่นกัน
ไม่รู้ว่าใครมาเล่นตลกกับเธอ จึงสั่งให้ทำความสะอาดหลังจากนี้

นัตสึฮิมาพบเอวาและฮิเดโยชิที่ตื่นแล้ว และอยู่ในห้องนั่งเล่น
คานอนเดินมาและบอกหาโกดะไม่พบ
นัตสึฮิจึงให้เตรียมอาหารเช้าก่อนที่จะหาโกดะ
แต่คานอนก็หาเคลาส์ สามีของนัตสึฮิไม่พบเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมี รูดอลฟ์, คิริเอะ และโรซ่า ก็หาตัวไม่เจอ ไม่ว่าจะบ้านพักหรือแมนชั่น
นัตสึฮิจะไปหาที่ห้องคินโซ

ก่อนนัตสึฮิจะไป เกนจิมอบกุญแจสำหรับเปิดห้องให้เธอ
ถ้านายท่านหลับสนิท ไม่มีประโยชน์ที่จะเคาะประตู
เอวาแซวนัตสึฮิก่อนที่เธอจะไป

มาเรียตื่นขึ้นมา และเห็นแบทเลอร์ จอร์จ กับเจสซิก้ายังหลับอยู่
เธอจึงปลุกทั้ง 3 ตอนนี้เป็นเวลา 7 โมงเช้า
ทุกคนจึงไปที่แมนชัน

นัตสึฮิสับสนเล็กน้อยก่อนจะเปิดประตูห้อง เพราะเธอไม่มั่นใจว่าจะพาคินโซไปได้
เมื่อเปิดประตู คินโซตื่นอยู่แล้ว และมองที่หน้าต่าง
นัตสึฮิอธิบายเรื่องที่เธอได้รับกุญแจจากเกนจิ
“ถ้าเพื่อนข้าคิดว่าเจ้าจำเป็นต้องใช้มัน ข้าจะฟังสิ่งที่เจ้าพูด เอาล่ะ เจ้าต้องการอะไรจากข้า ?”
เธอพูดเรื่องอาหารเช้า แต่คินโซก็จะกินที่ห้อง
จากนั้นเธอขอให้เขาไปพบการพบปะประจำปีของครอบครัว
แต่คินโซยังคงปฏิเสธ และให้เธอออกจากห้อง

นัตสึฮิได้แต่ยอมรับ ระหว่างที่เธอจะออกจากห้อง
คินโซถามเรื่องที่ว่าเธอคิดถึงตระกูลเดิมของเธอหรือไม่
นัตสึฮิตอบว่าไม่ เธอเป็นคนของตระกูลอุชิโรมิยะ

“ถ้าเคลาส์เป็นผู้หญิง และเธอเป็นผู้ชาย ไม่สิ ข้าไม่ควรพูดเรื่องนี้”
คำพูดนี้ทำให้นัตสึฮิตกใจเล็กน้อย
คินโซให้เธอลืมคำพูดนี้ซะ แล้วหันกลับไปที่เดิม
นัตสึฮิพูดถึงสัญลักษณ์อินทรีย์ปีกเดียวบนเสื้อ ถึงเธอจะไม่มีมันแต่เธอก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของตระกูล
คินโซไม่พูดอะไรตอบเธอ นัตสึฮิจึงออกจากห้อง
เธอพบกับเอวา และมีปากเสียงกันนิดหน่อย ก่อนที่จะไปห้องรับแขก

ทุกคนมารวมที่ห้องรับแขก รวมทั้งนันโจ ยกเว้นคนที่ยังหาตัวไม่เจอ
ป้าคุมาซาวะกำลังเตรียมอาหารเช้า ตอนนี้ประมาณ 8 โมงเข้าแล้ว
ตอนนี้ ก็พบว่าแชนนอนก็ไม่อยู่เช่นกัน

คานอนรีบวิ่งมาบอกทุกคน และพูดอย่างตะกุกตะกัก
เขาเล่าว่า ห้องเก็บของที่สวนกุหลาบมีสัญลักษณ์แปลกๆ

เขารีบกลับมาเอากุญแจ ซึ่งอยู่ในห้องคนรับใช้
คานอน เกนจิ เอวา และฮิเดโยชิ ไปที่นั่น
เมื่อมาถึงก็พบสัญสักษณ์ที่สร้างจากของเหลวสีแดงผสมดำ
บางทีฝนที่ตกลงมา อาจทำให้ไม่ได้กลิ่นของมันก็ได้
แต่การเห็นสีแดงดำ ก็ทำให้สร้างมโนภาพเห็นว่าเป็นเลือด
ชัตเตอร์ถูกเปิดออก และสิ่งที่เห็นต่อหน้าทุกคนคือ …..

ด้านห้องรับแขก พวกแบทเลอร์และดร.นันโจยังอยู่ในห้อง
ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนที่วิ่งมา
เป็นเสียงของเกนจิ ซึ่งเขามาขอตัวดร.นันโจ และบอกนัตสึฮิ
จึงตามเกนจิไปที่ห้องเก็บของ
เมื่อผิดสังเกต พวกแบทเลอร์จึงตามไปด้วย แต่มาเรียขอดูทีวีต่อ

นัตสึฮิห้ามกลุ่มแบทเลอร์เข้าไป แต่ก็ไม่สำเร็จ
แบทเลอร์, เจสซิก้าและจอร์จ ต่างตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น และกรีดร้องออกมา
ที่พบคือ ศพของเคลาส์, รูดอล์ฟ, คิริเอะ, โรซ่า และโกโด ในสภาพที่เหมือนถูกลอกหน้าออกมา
ศพน่าจะตายไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง

แบทเลอร์ร้องไห้ และเศร้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมาก
ด้านจอร์จถามฮิเดโยชิว่าศพมีทั้งหมดเท่าไหร่ 5 งั้นเหรอ ? เขาตอบว่า 6
มีอีกศพหนึ่งในจุดที่มองไม่เห็นจากทางเข้า ใกล้กับเท้าของฮิเดโยชิ
“งั้น อีกศพที่อยู่ตรงเท้าของพ่อ เป็นแชนนอนใช่ไหม ?”
“ใช่ แชนนอนจัง”
จอร์จได้แต่เงียบ และกัดริมฝีปากตัวเอง
“แชนนอน ขอผมดูเธอได้ไหม ?”
“ไม่ อย่าดีกว่า”
“ทำไม … ทำไมผมถึงดูหน้าแชนนอนอีกสักครั้งไม่ได้ ? ใบหน้านั้น อีกสักครั้ง ทำไมถึงไม่ได้ ?”
“ลูกพบกับเธอเมื่อวานใช่ไหม ?”
“ครับ”
“เอาล่ะ หน้าของแชนนอนจังแบบไหนที่ลูกจำได้ ?”
“ใบหน้าที่มีรอยยิ้มน่าหลงไหล”
“อืม แชนนอนจังคงคิดแบบนั้น …. อยากให้ใบหน้านั้นยังคงอยู่กับลูก”
ฮิเดโยชิมองศพแชนนอน ใบหน้าเธอถูกทำลายไปครึ่งหนึ่งจากด้านข้าง เหลือเพียงครึ่งเดียว
ถ้าทำความสะอาดอีกครึ่งหน้า คงจะเป็นหน้าที่มีรอยยิ้ม
แต่นี้มีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ช่างโหดร้ายยิ่งนัก

จอร์จเข้าใจในสิ่งที่พ่อตนห้าม
เขาทรุดลง หลังพิงกำแพงด้านนอก
และขอให้พ่อดูแหวนบนนิ้วของศพของแชนนอน
เมื่อฮิเดโยชิดู เขาจึงตอบว่า
“ดูเหมือนจะเป็นแหวนที่มีค่านะ”
“อยู่ที่มือข้างไหน”
“มือข้างซ้าย แชนนอนจังหมั้นแล้วเหรอ ?”
(เอวา) ” จอร์จ ลูกงั้นเหรอ”
(ฮิเดโยชิ) “เอวา!! เรายุ่งกับเรื่องนี้ไม่ได้หรอกนะ !!
แชนนอนจังมอบอนาคตของเธอ สัญญากับชายคนหนึ่ง
เธอมีชายที่บอกว่าจะมอบชีวิตที่มีความสุขให้แก่เธอ
ชั้นไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นปัญหาของใครทั้งนั้น
การที่ผู้ชายที่พูดเช่นนั้น เป็นปรารถนาของผู้หญิง
ชั้นไม่รู้ว่าเธอรับแหวนวงนี้ !ชั้นไม่รู้ว่าใครให้แหวนเธอ !
แต่ แชนนอนก็รับแหวนวงนี้ และยอมรับที่จะใส่ในนิ้วนางมือซ้าย
ชายที่มอบแหวนให้เธอ ชั้นมั่นใจว่าเขาจะยินดีเช่นกัน”

จอร์จกล่าวขอบคุณพ่อของเขา และลุกขึ้นยืน
จากนั้นก็ชวนทุกคนที่กำลังเศร้าโศกกลับเข้าแมนชั่น
นัตสึฮิให้เกนจิติดต่อตำรวจ
เธอยังให้เกนจิหาอะไรคลุมหน้าศพไว้ แต่เอวาห้ามไว้เพราะจะทำให้รูปคดีเปลี่ยนไป
นัตสึฮิแสดงสีหน้าไม่พอใจ แต่ก็เป็นจริงอย่างที่เอวาบอก
เมื่อถามเรื่องกุญแจเปิดปิดห้องเก็บของ เกนจิบอกว่าอยู่ในห้องคนรับใช้

ห้องเก็บของถูกปิด ทุกคนกลับเข้าไปในแมนชั่น

Chapter 11 : Curtain-rise on Tragedy
Date : Oct 5 1986
Time : 8.45

มาเรียยังคงสนุกและหัวเราะกับรายการทีวี โดยไม่ทราบเรื่องที่โรซ่า แม่ของเธอเสียชีวิตไปแล้ว เมื่อทุกคนที่กลับถึงแมนชั่นก็ได้แต่เงียบและไม่กล้าบอกเรื่องนี้ มาเรียก็ยังคงดู TV ต่อไป

นัตสึฮิให้เกนจิแจ้งตำรวจ และไปต้องการไปพบคินโซ โดยมีเอวาตามนัตสึฮิไปด้วย
คุมาซาวะมาแจ้งคนอื่นเรื่องรอยเลือดในห้องอาหาร จอร์จรีบวิ่งไปโดยเร็ว โดยมีฮิเดโยชิ, นันโจ, แบทเลอร์ รวมทั้งคนอื่นตามไป
ฮิเดโยชิ เข้าใจแบทเลอร์และบอกให้ทุกคนออกจากห้องอาหาร
เกนจิ รายงานว่าเขาไม่สามารถติดต่อกับคนอื่นได้ และเขาจะไปยืมเครื่องมือสื่อสารในตอนเช้าวันจันทร์ ทำให้รู้ว่าไม่เกาะนี้ไม่มีเรือ และเริ่มคนในห้องรู้สึกไม่สบายใจ
มาเรีย สังเกตความผิดปกติของคนอื่น และถามเจสซิก้าว่ามีใครตาย ทำให้เจสซิก้าระเบิดอารมณ์ใส่มาเรียและบอกถึงรายชื่อคนที่เสียชีวิต
คนอื่นบอกให้มาเรียและเจสซิก้าตั้งสติ แต่ดูเหมือนมาเรียจะไม่ตกใจกับเรื่องนี้ จะอยากรู้เรื่องจำนวนคนที่ตาย และเธอคิดว่าคนที่ก่อคดีไม่ใช่มนุษย์
* นัตสึฮิเข้ามาบอกเรื่องวิทยุฉุกเฉินที่ใช้ไม่ได้ และมีคนเสนอให้ใช้แสงสัญญาณ แต่ก็ไม่มีอุปกรณ์แบบนั้นอยู่
* เอวาบอกว่าไม่พบพ่อที่ห้อง ซึ่งน่าแปลกที่เขาออกมาจากห้องและไม่มีใครพบเขา รวมทั้งคนรับใช้และคนใกล้ชิดก็ไม่ทราบว่าเขาน่าจะไปที่ไหน

หลังทานอาหาร การที่คินโซหายไปโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายในสถานที่แห่งไหน ไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ ทำให้ส่วนหนึ่งออกสำรวจแมนชั่น โดยให้เด็กๆ, เอวา, ฮิเดโยชิ และ ดร.นันโจ อยู่ในห้องรับแขก (รวม 7 คน)
แบทเลอร์ถามจอร์จเรื่องแหวนของแชนนอนว่าเขาเป็นคนให้ใช่หรือไม่ จอร์จเงียบและกอดแขนตัวเอง ก่อนที่จะตอบว่าเขาเป็นคนมอบให้เธอเมื่อคืน โดยหวังว่าเธอจะสวมมันบนนิ้วและให้คำตอบแก่เขา
เขากล่าวโทษที่ตัวเองมอบแหวนให้แชนนอน ซึ่งคงทำให้เธอเขินอายที่จะกลับเรือนรับรองพร้อมกับเขา จึงไปที่แมนชั่นแทน และคงช่วยงานโกโด จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายแบบนั้นขึ้น
เอวาไม่ให้แบทเลอร์ปลอบเขาอีก ซึ่งเขาก็รู้ว่าถ้อยคำที่ปลอบอาจทำให้เขาเจ็บปวดมากขึ้น ส่วนเจสซิก้าก็กอดไหล่ของจอร์จ

แบทเลอร์นั่งคุยกับป้าเอวา ดูเหมือนเขาจะฟื้นสภาพจากความเศร้าโศกแล้ว เขาเสียใจที่ไม่รู้ว่าพ่อตายอย่างไร ส่วนคิริเอะถึงจะน่าเศร้าแต่เธอก็ไม่ใช่แม่แท้ๆ ของเขา
ถึงเอวาจะดูทำใจได้แล้ว แต่เธอกลับรู้สึกขุ่นเคืองคนที่ก่อเรื่องแบบนี้มากกว่าที่จะมาเศร้าโศรก ซึ่งฆาตกรน่าจะยังอยู่บนเกาะนี้ เป็นคนที่ 19
เมื่อกล่าวถึงเรื่องเบียทริซที่น่าจะเป็นใครสักคนที่ปลอมตัวมาหลอกมาเรีย ก็น่าจะเป็นคนในกลุ่มที่มีทั้งหมด 18 คน ทำให้แบทเลอร์คิดว่าเป็นไปได้ที่ฆาตกรอาจจะเป็นหนึ่งใน 18 คนในกลุ่ม
เอวายิ้มและอธิบาย เนื่องจากการใช้กุญแจไขห้องปิดตายนั้น จำเป็นต้องไปเอากุญแจจากห้องคนใช้ ทำให้คิดว่าคนร้ายก็น่าจะรู้ที่เก็บกุญแจ เธอจึงไม่ไว้วางใจพวกคนรับใช้
แบทเลอร์กล่าวถึงนิยายที่ชื่อ “Higurashi no Naku koro ni” ที่แม่ของตัวเอกเคยกล่าวเรื่องอาชญากรรมที่สมบูรณ์แบบ ที่ว่าต้องไม่ทำให้เป็นที่สังเกต ทำให้เขาเริ่มสงสัยคินโซที่หายตัวไป
เขาคิดว่าการตายของทั้ง 6 คนส่งผลต่อจิตใจของคนที่ยังมีชีวิตอยู่
– การตายของเคลาส์ทำให้ครอบครัวเจสซิก้าเสียใจ
– การตายของพ่อและคิริเอะ เป็นเรื่องเศร้าสลดต่อแบทเลอร์
– การตายของโรซ่านำพาความเศร้าไปสู่มาเรีย
– การตายของโกดะน่าจะทำให้คนรับใช้คนอื่นช็อค
– การตายของแชนนอน ส่งผลต่อจอร์จที่เพิ่งขอหมั้นเธอ และคานอน ผู้ที่นับถือเธอเหมือนพี่สาว
เข้าเริ่มคิดถึงสิ่งที่ขัดแย้ง ที่ว่าถ้าสิ่งที่เอวาคิดเป็นจริง ทำไมโกดะกับแชนนอนถึงต้องตาย ? ซึ่งในเรื่องผลประโยชน์ ป้าเอวาก็จะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยที่มีสิทธิ์ในสมบัติมากที่สุด
เอวาเดาความคิดของแบทเลอร์ได้ ซึ่งเธอก็บอกว่าทายาทของคินโซทั้ง 4 มีเพียงเธอที่ยังรอดชีวิต และพยานหลักฐานเธออ่อนมาก เพราะเธอกับสามีเข้านอนเร็ว แต่ดูเธอก็ไม่ได้หนักใจกับมุมมองของแบทเลอร์

เจสซิก้าพูดด้วยน้ำเสียงที่ก้าวร้าว ถึงเรื่องสัญลักษณ์วงกลม ซึ่งคงมีแต่ปู่เท่านั้นที่ทำ และเธอต้องการหาตัวเขาเพื่อเค้นเอาความจริง
ทุกคนคุยเรื่องสัญลักษณ์ ซึ่งคล้ายกับลายบนเหรียญเยอรมัน และเป็นสัญลักษณ์ของอัศวินและพระของศาสนจักร
เมื่อแบทเลอร์มองไปที่มาเรีย เขาก็ต้องสะดุ้ง เพระรอยยิ้มของเธอที่แปลกประหลาด ราวกับดูถูกคนที่กำลังถกเถียงเรื่องสัญลักษณ์กันอยู่
จากนั้นเธอก็เริ่มหัวเราะด้วยเสียงประหลาด
“คิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิ พวกแกเข้าใจผิดกันทั้งนั้น คิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิ ดูเหมือนพวกแกคงไม่เข้าใจกันสินะ คิฮิฮิฮิฮิ”

ทุกคนประหลาดใจกับคำพูดของมาเรียอย่างมาก ราวกับไม่ใช่มาเรียที่รู้จัก
“นี่เป็นสัญลักษณ์เวทมนตร์แห่ง 7 สุริยา วาดโดยชาวฮิบรู เอามาให้ฉันได้ไหม ?” จากนั้นเธอก็ได้โน๊ตจากฮิเดโยชิที่กำลังประหลาดใจ
เธอนำมาวาดต่อจนเป็นรูปที่สมบูรณ์ เจสซิก้ากล่าวชมเธอ แต่มาเรียก็ไม่ได้ตอบอะไรและยื่นสัญลักษณ์กลับมาให้
ฮิเดโยชิและดร.นันโจ ตกตะลึงกับสัญลักษณ์นี้
ด้านบน, ล่าง, ซ้าย, ขวา เป็นชื่อของเทพแห่งลม, ไฟ, น้ำ และดิน Chasan, Arel, Phorlakh และ Taliahad
ด้านเฉียงอีก 4 ด้าน เป็นชื่อของ 4 ราชา Ariel., Seraph, Tharshis และ Cherub

“พวกนี้เป็นบทสวดในพระคัมภีร์ โคลงที่ 16 และ 17 ของบทที่ 116 พวกแกควรอ่านไบเบิ้ลซะบ้างนะ คิฮิฮิฮิฮิฮิฮิ”
คนอื่นๆ พูดอะไรไม่ออก เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก จอร์จก็ตัดสินใจถามเรื่องสัญลักษณ์เวทมนตร์
มาเรียตอบว่า “สัญลักษณ์นี้ยืมพลังจากดาวอาทิตย์ ผู้ที่มีสัญลักษณ์บนร่างกายเหมือนเครื่องรางทองคำล่ะก็ แม้ว่าเขาจะถูกจับก็จะหนีจากสิ่งที่พันธนาการได้ และได้รับพลังที่จะนำพาไปสู่อิสระภาพ”
มาเรียยังกล่าวอีกว่า ไม่ได้หมายถึงกุญแจมือหรือตรวนที่เป็นสิ่งของ และไม่ได้หมายถึงคนที่ติดคุก นั่นรวมถึงโชคชะตาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ด้วย

แบทเลอร์ยังไม่เข้าว่าสัญลักษณ์นี้เกี่ยวข้องกับศพทั้ง 6 ในห้องอย่างไร มาเรียก็ตอบว่า
“ไม่ใช่สัญลักษณ์ที่วาดเพื่อเจ้า 6 คนนั่น แต่เพราะสัญลักษณ์ ทำให้ทั้ง 6 ต้องมาอยู่สถานที่แห่งนั้น ช่างน่าสงสาร คิฮิฮิฮิฮิฮิฮิ”
“หมายความว่ายังไง ?”
มาเรียยกนิ้วชี้และส่ายนิ้ว
“มันเขียนอยู่ในเส้นรอบวง อ่านมันได้ไหม ? บทสวดที่ 116 โคลงที่ 16 และ 17 ….. ข้าจะอ่านให้แกฟัง”
“ราชาปลดกุญแจมือให้แก่ข้า ข้าขอเสนอการบูชายัญเพื่อขอบคุณแต่ท่าน และเอ่ยนามอันทรงเกียจของราชันย์”

สัญลักษณ์เวทมนตร์ที่ถูกวาดขึ้น แสดงถึงการบูชายัญ แบทเลอร์เริ่มพิจารณาในสิ่งที่ผ่านมา และอะไรที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เขาไม่รู้ว่าควรจะโมโหหรือเศร้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดี
นึกถึงตอนเด็ก ที่เคยกลัวรายการที่กล่าวถึงเรื่องไสยศาสตร์จนไม่กล้าไปห้องน้ำ พ่อจะหัวเราะและบอกว่าพวกปีศาจหรือไสยศาสตร์ไม่มีจริง
ความกลัว เป็นความรู้สึกที่น่าสนใจสำหรับหลายๆ คน และส่งผลให้สร้างความเชื่อในเรื่องปีศาจและเวทมนตร์ขึ้นมา

ใบหน้าของศพทั้ง 6 ถูกทำลาย ….. ความอิจฉา ? คำเตือน ? (ช่วงนี้พรรณาความรู้สึกของแบทเลอร์ยาวมาก หลาย 2 – 3 หน้ากระดาษ A4 ได้)

ทุกคนเงียบและกลับไปที่โซฟาด้วยความรู้สึกที่ไม่ดี มาเรียกลับไปนังดูทีวี และยังส่งเสียงหัวเราะเหมือนเดิม
แบทเลอร์เริ่มคิดว่า ถ้าไม่มีคนที่ 19 ในเกาะ คนร้ายก็น่าอยู่ในกลุ่มพวกเรา
เขากำลังคิดว่านัตสึฮิไปกับพวกคนใช้ และไม่ได้อยู่ในแมนชั่นนี้ อีกทั้งยังไปเช็คค่อนข้างนาน แต่ระหว่างที่คิดพวกนัตสึฮิก็กลับมา

พวกเขาตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นนัตสึฮิ ทำให้นึกถึงเรื่องคนร้ายที่ฆ่าทั้ง 6 น่าจะมีอาวุธอยู่ด้วย ….. นัตสึฮิกำลังถือปืนลูกซองอยู่
มีคนจำได้ว่าเป็นปืนของคินโซสำหรับใช้ยิงนก เป็นปืนที่คินโซหวงมาก ยี่ห้อ Winchester พวกเธอได้สำรวจอย่างเข้มงวดรอบแมนชั่นแต่ไม่พบอะไร

ตอนนี้ผู้ต้องสงสัยอันดับแรก คือ เอวา แต่นัตสึฮิก็ยังคงถูกสงสัยอยู่ รวมทั้งปู่ที่อาจทำจดหมายของเบียทริซ ก็ควรเป็นผู้ต้องสงสัยเช่นกัน
เขายังคิดว่า นัตสึฮิคิดว่าคนร้ายเป็นคนนอกกลุ่ม, เอวาคิดว่าคนร้ายอยู่ในกลุ่ม
เมื่อนึกถึงเรื่องแม่มด เขาพยายามที่คิดว่าเรื่องแม่มดไม่มีจริง แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น คนร้ายก็น่าจะอยู่ในกลุ่มพวกเรา
เสียงฝนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เราไม่รู้ว่าจะหยุดเมื่อใด เราไม่สามารถขจัดความเงียบสงัดนี้ได้ ……

Chapter 12 : Occult
Date : Oct 5 1986
Time : 13.00

อาหารในห้องรับแขก ถูกเก็บไป สายลมและฝนยังคงมีต่อเนื่อง แต่ไม่รุนแรงหรือเบาเกินไป
นัตสึฮิไม่ต้องการให้ออกจากห้องนี้ ส่วนเธอไปเตรียมอาหารในห้องครัวพร้อมกับคนรับใช้ 3 คน

คุมาซาวะ ให้เกนจิและคานอนไปพักผ่อน เธอจะล้างจานให้ห้องครัวให้
คานอนนึกถึงเรื่องที่แชนนอนตายอย่างโหดร้าย และเธอไม่มีโชคเลย
คุมาซาวะเดินมาและพูดถึงแชนนอนว่า เธออยากเห็นเด็กสาวที่ยิ้มแบบนั้นอีกสักครั้ง ซึ่งคานอนก็คิดว่าเพราะคุมาซาวะไม่เห็นศพของคานอน
เมื่อได้ยินแบบนั้น คานอนก็นึกหน้าแชนนอนอีกครั้ง ซึ่งเหลือใบหน้าเพียงครึ่งเดียว ทำให้เขาไม่สบายใจ
“ทำไม ท่านเบียทริซต้องการแชนนอน ถ้าเธอต้องการเครื่องสังเวย มีคนอีกมากมายที่ใช้ได้ ทำไม … ทำไม !!”
คุมาซาวะได้แต่ตอบว่าเธอไม่มีโชค ถ้าเธอโชคดีสักนิด คนที่ไปที่นั่นแทนแล้วถูกสังหาร อาจเป็นตัวคุมาซาวะเองหรือคานอนก็ได้
คานอนถามเกนจิเรื่องรอยเลือดบนห้องของนัตสึฮิ ซึ่งรู้ว่าเบียทริซพยายามเข้าห้องนั้นแต่ไม่สามารถเข้าได้
เขาคิดว่าเป็นนายหญิงเอาตัวรอดจากการเป็นเครื่องสังเวย ถ้าเธอตายล่ะก็ แชนนอนคงไม่ต้องตาย

แบทเลอร์ที่ขอตัวไปห้องน้ำ แวะมาร่วมสนทนากับกลุ่มคนรับใช้ เพราะเขาสนใจสิ่งที่ได้ยินก่อนหน้านี้นิดหน่อย
“….. เบียทริซ คือ ใคร ? เธอดูไม่เหมือนแม่มดจากเทพนิยาย”
คานอนเลี่ยงสายตาจากแบทเลอร์ ทำให้เขาคว้าคอเสื้อของคานอน แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อคืนเขาอาจไม่ต้องการรู้เรื่องนี้ แต่เมื่อเช้า จากเหตุการณ์ที่พ่อเขาและคนอื่นตาย ซึ่งเกี่ยวโยงกับเรื่องนี้ …. เขาต้องการรู้ในบางเรื่องที่เขายังไม่รู้
เกนจิขอให้เขาปล่อยคานอน เขากล่าวว่าที่คานอนลังเล เนื่องจากเป็นเรื่องที่อาจทำให้เบียทริซรู้สึกไม่ดี
ซึ่งแบทเลอร์กล่าวเสียดสีคานอน ว่าความลังเลไม่เหมาะกับผู้ชาย เขาต้องการรู้เรื่องนี้ตอนนี้ ซึ่งฝ่ายคนใช้ก็ยอมที่จะบอกเรื่องนี้

แบทเลอร์ ตั้งคำถามว่า “เบียทริซ คือใคร ? เขารู้ว่าเธอเป็นแม่มดที่อาศัยอยู่ในป่ารคเคนจิม่าซึ่งมาจากเรื่องแต่งขึ้น เพื่อไม่ให้เข้าไปในป่า”
“ไม่ เป็นเรื่องจริง  เบียทริซเป็นแม่มดที่อยู่ในป่า Rokkenjima”
“ท่านแบทเลอร์ เป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อ แต่ เบียทริซมีตัวตนอยู่จริง เธอมอบทองคำจำนวนมหาศาลแก่นายท่า และรับใช้นายท่านมานาน … เธอมีตัวตน”
“หา ? เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ การ พูดซ้ำซากเหมือนความคิดของปู่มันส่งผลกับเงินเดือนของพวกนายเหรอไง ?”

แบทเลอร์หัวเราะแบบสนุกสนาน แต่คนรับใช้ทั้ง 3 ไม่ได้หัวเราะตามเขา เขาเริ่มรู้สึกแย่กับความจริงเรื่องนี้
เกนจิกล่าวว่า เบียทริซรับใช้นายท่านมานาน ตั้งแต่ก่อนที่จะสร้างแมนชั่น บางทีอาจจะรับใช้มานานกว่าตัวเกนจิเสียอีก
แบทเลอร์ดูจะสับสนก็จริง แต่ก็ยังพูดติดตลกกับคานอนอีก

คุมาซาวะ พูดเกี่ยวกับเบียทริซ
“……ตราบใดที่เธอไม่ได้มีความปรารถนาใดๆ คนทั่วไปอย่างพวกเราจะไม่สามารถเห็นเธอได้”
“ภาพวาดที่เห็น เป็นร่างมนุษย์ของเบียทริซ”
“ชั้นเคยได้ยินว่าเธอหายตัวไป และบ่อยครั้งจะปรากฏตัวต่อหน้าภาพวาดในแมนชั่น . … โฮ่โฮ่โฮ่”
ป้ายังเล่าอีกว่า บางครั้งเบียทริซจะปรากฏตัวในร่างผีเสื้อ ถ้าใครที่ไล่ตามผีเสื้อตัวนั้น มีเรื่องเล่าว่าจะพบกับเคราะห์ร้าย
ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนรับใช้ที่ลาออกไปก่อนหน้านี้ ซึ่งพบกับความเจ็บปวดจากรอยสัก
เมื่อแบทเลอร์ไม่เชื่อ คุมาซาวะก็บอกว่า
“ท่านเบียทริซไม่ชอบคนที่ดูหมิ่นเธอ ถ้าดูถูการมีตัวตนของเธอจะต้องประสบกับโชคร้าย”
คุมาซาวะ พยายามย้ำไม่ให้แบทเลอร์พูดเรื่องที่ดูถูกท่านเบียทริซ ซึ่งดูไม่เหมือนคนที่สนุกสนานอย่างที่เคย

“ไม่สิ ถึงพวกแกจะบอกว่าเธอมีตัวตน ทำไมฉันถึงไม่เห็นอะไรเลย ? แกจะบอกว่าเธออยู่ข้างๆ ชั้นตอนนี้เหรอ ? หยุดพูดตลกเถอะ คิฮิฮิฮิฮิฮิฮิ”
มาเรียมาอยู่ที่นี่ เขาสามารถรู้ได้แม้จะไม่ได้หันไปมอง
“ถ้าคลื่นสัญญาณของแบทเลอร์ไม่เหมาะสม นายจะไม่สามารถเห็นเธอได้ ไม่สามารถพบเธอ หรือพูดกับเธอได้ คิฮิฮิฮิฮิฮิฮิ เป็นแบบที่เบียทริซเกลียดมากๆ”

มาเรียยิ้มอย่างน่ากลัว
“นายอยากรู้จักเบียทริซใช่ไหม ? เธอเป็นแม่มดอายุพันปี เธอสามารถเรียกปีศาจได้ทุกชนิด, เชี่ยวชาญเรื่องเล่นแร่แปรธาตุ, ครอบครองศิลานักปราชณ์ และมีทองคำจำนวนมหาศาล”
(** ศิลานักปราชญ์แบบในเรื่อง FMA มีบันทึกในตำนานโบราณ เชื่อว่ามีอำนาจมากมาย อาทิเช่น สามารถเปลี่ยนโลหะให้เป็นทองคำ ได้)
“ปู่โชคดีมากที่ได้ทำสัญญากับเธอ….. เมื่อวานฉันอ่านจดหมายของเบียทริซใช่ไหม ? นั่นเป็นความจริง”
“ถึงจะบอกให้นายเชื่อ คงจะไร้ประโยชน์ เพราะดูเหมือนประสาทสัมผัสที่ 6 ของนายคงใช้ไม่ได้สินะ คิฮิฮิฮิฮิฮิฮิ”
มาเรียบอกว่าเธอถามเบียทริซเกี่ยวกับเรื่องนี้ และหัวเราะดังยิ่งขึ้น
แบทเลอร์ยังคงถามเรื่องคนที่มอบจดหมายให้มาเรีย มาเรียยังให้คำตอบเดิม ยังเยอะเย้ยว่าจะต้องพูดอีกสักกี่ครั้งเขาถึงจะเข้าใจ และยอมเชื่อ

อยู่ๆ มาเรียก็หยุดหัวเราะ
“แบทเลอร์ นายไม่เข้าใจสินะ ? ว่าท่านเบียทริซมีตัวตน”
“มีตัวตนงั้นเหรอ …. ไหนล่ะ ?”
“นั่นเป็นเหตุผลที่เบียทริซมีตัวตนในสถานที่แห่งนี้”

ระหว่างนั้น แบทเลอร์ก็เริ่มตระหนักถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน เขาเพิ่งสังเกตว่าสายตาของคนรับใช้ไม่ได้เปลี่ยนไปมาสักพักแล้ว ทั้งที่ควรจะไขว้เขว
สายตาของทั้งสี่จ้องมองมาที่เขา
เขาจึงมองไปด้านหลังอย่างช้าๆ พร้อมกลืนน้ำลาย
….. ไม่มีใครอยู่ด้านหลังเขา
แต่ทุกคนยังคงจ้องมาที่ด้านหลังเขา ราวกับมีใครอยู่ด้านหลังของแบทเลอร์

“เบียทริซเป็นแม่มดทองคำที่อยู่มากว่า 1,000 ปี แต่เธอสามารถพูดและแสดงร่างแก่คนที่มีคลื่นตรงกับเธอเท่านั้น …. นั่นเป็นเหตุผล”
“เธอเกลียดคนที่ไม่มีเซนส์ด้านเวทมนตร์ (แบบแบทเลอร์) ที่ปฏิเสธการมีตัวตนของเธอ”
“แบทเลอร์โชคดี”
“ดีนะที่นายได้รับเครื่องรางจากฉันเมื่อวาน ถ้าไม่พกติดตัวไว้ ชั้นไม่รู้เหมือนกันว่าแบทเลอร์จะโดนคำสาปแบบไหนบ้าง”
“แบทเลอร์โชคดีจริงๆ คิ ฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิฮิ”
เธอยังกล่าวอีกว่า ถ้าไม่ถื่อกุญแจแมงป่องที่เหมือนของขวัญราคาถูกไว้ ป่านนี้เขาคงตายไปแล้ว

มาเรียยังบอกว่าเธออยู่ที่นี่และให้มอง พร้อมเสียงหัวเราะ

แบทเลอร์เริ่มกลั้นเสียงหัวเราะไม่ไหว และหัวเราะออกมา ทำให้มาเรียหยุดชะงัก
ที่เขาไม่ตอบกับ เพราะเกรงว่าจะทำให้มาเรียรู้สึกไม่ดี
เรื่องเครื่องราง ถึงเขาใส่กระเป๋าเสื้อไว้ แต่เขาก็ทำมันหายไปแล้ว
ส่วนเรื่องประสาทสัมผัสที่ 6, คลื่น, เซนส์ด้านเวทมนตร์ เขาไม่เชื่อของหลอกลวงแบบนั้น
และยังคงคิดว่าคนอื่นได้ค่าจ้างจากปู่ให้มาพูดเรื่องแบบนี้

เมื่อพูดจบ มาเรียก็หัวเราะอีกครั้ง
“…..เร็วๆ นี้ เบียทริซจะคืนชีพ”
“….เมื่อเธอคืนชีพ เธอสัญญาว่าจะคุยและเล่นกับพวกเราอย่างเต็มที่”
“….. นายไม่จำเป็นต้องสงสัยหรือจำใจต้องเชื่อหรอก ….. เธอจะปรากฏตัวเร็วๆ นี้ คิฮิฮิฮิฮิฮิฮิ”

หลังจากนั้น ทั้ง 11 คนก็มารวมกับที่ห้องรับแขก ถ้าทุกคนรวมกันคงจะผ่าน
แบทเลอร์คุยกับเจสซิก้าเรื่องมาเรีย ที่เหมือนมีอีกบุคลิกเมื่อคุยเกี่ยวกับเรื่องแม่มด
(ทั้งสองคุยกันเรื่องทฤษฏี + ตัวอย่าง อธิบายยาวหลายหน้า A4 เกือบทั้งตอน จึงขอคัดมาเฉพาะบางหัวข้อที่น่าสนใจ)
– เจสซิก้าคิดว่ามาเรียอาจมีความทรงจำของชาติก่อนก็ได้ ถ้ามีความรู้ของแม่มดอายุนับพันปี เท่ากับว่าตัวตนของเธอ คือ 1009 ปี
– แบทเลอร์สงสัยว่าโรซ่ารู้เรื่องนี้หรือไม่ เจสซิก้าจึงตอบว่ารู้ ซึ่งเธอไม่พอใจกับเรื่องนี้มาก เพราะทำให้มีผลกับเพื่อนร่วมห้องเธอ
– ที่จริงก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเชื่อเรื่องเบียทริซ เพราะไม่อยากมีข้อโต้แย่งกับปู่ ภายในแต่ละคนยังมีคนไม่เชื่ออยู่บ้าง
– คุยกันเรื่องคนที่ 19 บนเกาะ
– ฆาตกรน่าจะสนใจเรื่องของเบียทริซ
– เรื่องคนที่น่าจะเป็นฆาตกร

คนอื่นเริ่มสงสัยเรื่องที่คินโซหายไป
เอวาถามถึงคนที่พบคินโซเป็นคนสุดท้าย นัตสึมิคิดว่าเป็นเธอเอง ช่วงที่เธอหาสามีไม่พบ จึงไปหาพ่อและทักทาย
หลังจากพูดเสร็จเธอก็คืนกุญแจห้องที่ยืมไป คืนแก่เกนจิ เมื่อเอวาเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะ และบอกว่าน่าจะให้ตำรวจสำรวจที่ห้องของพ่อ
เพราะเธอสงสัยว่าอาจมีประตูลับอยู่ เมื่อถามคนรับใช้และคนสนิทแล้ว ไม่มีใครรู้เรื่องประตูลับ
เธอก็แสดงท่าทางมั่นใจราวกับไขปริศนาได้ ก่อนที่จะอธิบาย
เอวาพูดเรื่องที่นัตสึฮิพบคินโซช่วง 9 โมงเช้า เธอบอกว่าขยะที่พวกนัตสึฮิพบที่หน้าห้องของพ่อในภายหลัง ซึ่งเป็นใบเสร็จของที่ซื้อแถวสนามบินนั่นเอง
เอวาเป็นคนแทรกไว้ที่ประตูในช่วงที่มาหาคินโซแต่เข้าไปพบไม่ได้ ซึ่งหมายความว่าไม่มีใครเปิดประตูในช่วงหลังจากนั้น
เจสซิก้าสับสนกับเรื่องนี้ จึงรีบบอกว่าปู่อาจสังเกตมันตอนที่ตกพื้น แล้วนึกสนุก อยากแทรกมันไว้ที่เดิมก็ได้ แน่นอนว่าเธอกำลังปกป้องแม่ของเธอ
เอวาก็แย้งต่อว่า เธอพับกระดาษนี้ไว้เล็กมาก และแทรกไว้ในระดับความสูงพอสมควร ถึงจะมีคนพบบนพื้นก็ไม่น่ารู้ว่ากระดาษเคยถูกสอดไว้ที่ประตู
แต่ตอนพบใบเสร็จนี้ ใบเสร็จกลับแทบจะไม่ขยับจากเดิม

เธอสงสัยเรื่องที่ว่านัตสึฮิพบพ่อจะเป็นเรื่องโกหกที่แต่งขึ้น เมื่อเจสซิก้าพูดปกป้องแม่ของเธอ จอร์จก็ให้เธอระวังคำพูด
ตอนนี้สถานะการณ์กลายเป็นเอวาเผชิญหน้ากับนัตสึฮิ อีกคู่คือจอร์จและเจสซิก้า

เอวาคิดว่านัตสึฮิสร้างหลักฐานที่อยู่ปลอมขึ้นมา และมั่นใจว่าถ้าผลชันสูตรออกมา จะยืนยันเรื่องเวลาตายที่แน่นอนได้
นัตสึฮิยืนยันเรื่องที่พบกับพ่อ เธอยังจำถ้อยคำที่เขาพูดได้ ว่าเธอมีปีกอินทรีย์ในดวงใจ
เธอโต้แย้งในฐานะของคนในตระกูล

เอวาท้าทายเรื่องที่นัตสึฮิจะใช้ปืนลูกซองในมือ ซึ่งนัตสึฮิก็ถือปืนขึ้นมาขู่เอวาจริง ทั้งเจสซิก้าและเกนจิจึงพยายามขัดขวางทั้งสอง
ทั้งสองยังคงโต้แย้งกันต่อ เอวาบอกว่าถ้าเธอพบเขา โดยที่เขาสามารถออกจากห้องโดยไม่เปิดประตูได้ เธอคงผลักเขาตกลงมาจากชั้น 3
ความกดดันยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

จนกระทั่ง … แบทเลอร์ได้บอกว่าทฤษฎีของเอวาน่าสนใจก็จริง แต่ได้เพียง 65 คะแนนเท่านั้น
เขาเสนอว่ายังมีวิธีที่ปู่สามารถหลบหนีออกจากห้องโดยไม่ใช้ประตูและหน้าต่างได้
ซึ่งถ้าเขาหาที่ซ่อนในห้อง แบบในใต้เตียงล่ะก็ เมื่อคนที่เข้ามาหาออกจากห้อง เขาก็จะสามารถเดินตามออกมาได้
ทำให้ทฤษฏีของเอวาไม่สมบูรณ์

หลังจากนั้น เจสซิก้าก็ไออย่างหนัก จนทรุดลง เธอไม่ได้แสดงอาการนี้มาถึง 6 ปีแล้ว
เธอได้รับเครื่องช่วยหายใจจากคานอน และอาการก็ดีขึ้น

ทุกคนเริ่มยอมรับเรื่องที่สงสัยกัน และอยากรู้ว่าใครเป็นคนร้าย ซึ่งทุกคนล้วนแต่จะเป็นได้ทั้งนั้น
แบทเลอร์ขอให้เอวาใจเย็นลง กับเรื่องใบเสร็จที่นำมาใช้เป็นหลักฐานในการหายตัวของปู่
ทั้งเอวาและฮิเดโยชิออกไปจากห้องรับแขก
ไม่มีความจำเป็นต้องทำตัวเป็นนักสืบอีก ตำรวจจะมาค้นหาความจริงในวันพรุ่งนี้

เขาคิดว่าคนก่อเรื่องทั้งหมดอาจเป็นเบียทริซ ถึงเขาไม่เชื่อเรื่องนี้ ก็ยังคิดว่าน่าจะเป็นคนที่ 19 ซึ่งคนก่อคดีไม่ควรจะเป็นคนในตระกูลหรือคนรู้จักของเขา
มาเรียแสดงอีกบุคลิก และยืนยันคำพูดของแบทเลอร์ เพราะกุญแจจะไร้ความหมายสำหรับแม่มด
เบียทริซใช้ปีศาจได้ถึง 72 ตน ปีศาจตนที่ 33 นามว่า GAAP สามารถทำให้เธอวาร์ปไปยังสถานที่ๆ ต้องการได้

แบทเลอร์เมินเฉยต่อคำพูดเหล่านั้น
เขายังคิดสมการ 19>X>18 ซึ่งคนที่ 19 จะมีหรือไม่ ? แม่มดจะมีหรือไม่? หรือแม่มดอยู่ในค่าตัวแปร X นี้ ….!

Chapter 13 : The Two Who Are Close
Date : Oct 4 1986
Time : 19.00

ถึงเอวาและฮิเดโยชิจะออกจากห้องไปแล้ว บรรยากาศในห้องยังคงกดดันต่อไป
เวลาผ่านไปจนถึง 1 ทุ่ม ในห้องครัว ด้านคุมะซาวะกำลังเตรียมอาหารสำหรับทุกคน
ป้าผู้เชี่ยวชาญด้านการทำอาหาร เธอกล่าวชมคานอนช่วยเหลือเธอได้ดี
แต่เขาก็ยังพูดว่าพี่แชนนอนทำได้ดีกว่า ด้วยท่าทีที่ยังคงเศร้าอยู่ เกนจิจึงบอกให้คานอนลืมสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งคานอนก็พยายามที่จะลืม
ตอนนี้เกนจิกำลังเล่นหมากรุกกับนันโจที่หลบมาจากสภาวะตึงเครียดจากห้องนั่งเล่น  เขายังคงเป็นห่วงคินโซเนื่องจากเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน
นันโจรู้สึกหวาดกลัวยามราตรีที่กำลังจะมาถึง และอยากให้ถึงเช้าวันรุ่งขึ้นโดยเร็ว

เอวาและฮิเดโยชิอยู่ในห้องพักของทั้งสอง คุยเรื่องที่นัตสึฮิทำให้ทุกคนต้องไปรวมกันในห้องรับแขก แทนที่จะได้ผ่อนคลาย
ถึงเอวาจะไม่ชอบการแสดงอำนาจในฐานะพี่สะใภ้ แต่ฮิเดโยชิก็คิดว่าเธอทำตามหน้าที่ๆ เหมาะสม
เอวานั่งดูทีวีข้างฮิเดโยชิ ทั้งคู่เริ่มคิดว่าไม่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพังแบบนี้มานาน ตั้งแต่จอร์จเกิด
เอวาคิดถึงสมัยเคลาส์แต่งงานกับนัตสึฮิ ซึ่งหลังแต่งมา 6 ปี นัตสึฮิก็ไม่ได้ตั้งท้อง ทำให้คินโซไม่พอใจ
ส่วนเธอถ้าแต่งงานก็อาจไม่ได้ใช้นามสกุลอุชิโรมิยะอีก
แต่เธอก็ได้แต่งงานกับฮิเดโยชิ ซึ่งเขายอมที่จะใช้ชื่อตระกูลอุชิโรมิยะ มีลูกชายเป็นผู้สืบสกุลอุชิโรมิยะก่อนเคลาส์
จอร์จถูกเลี้ยงดูมาให้โตเป็นชายหนุ่มที่เพียบพร้อม เขาไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับคนรับใช้แบบแชนนอน ซึ่งโชคดีที่เธอตายจากเหตุการณ์นั้น
เอวาไม่พอใจท่าทีของเคลาส์ที่ทำตัวเป็นผู้นำตระกูลมาตั้งแต่เด็ก และอาจจะสร้างความรู้สึกไม่ดีแก่ฮิเดโยชิและจอร์จ
ฮิเดโยชิบอกให้เอวาอย่าโทษตัวเอง กอดและปลอบใจเธอ เอวาพิงหน้าบนอกของฮิเดโยชิ ทั้งสองคุยเรื่องในอดีตกัน

เกนจิเคาะประตู และเข้ามาบอกคนในห้องว่าอาหารเตรียมพร้อมแล้ว นันโจยังอยู่ในห้องครัว
นัตสึฮิให้เขาไปตามเอวาและฮิเดโยชิ ถ้าพวกเขาไม่อยากมาทานที่นี่ ก็ให้เอาอาหารไปให้พวกเขาที่ห้อง
ถึงห้องของเอวาจะอยู่ไม่ไกล แต่นัตสึฮิกำชับไว้ว่าอย่าไปไหนคนเดียว เกนจิจึงให้คานอนไปด้วย
เมื่อเคาะประตูก็ไม่มีเสียงตอบรับ คานอนสังเกตเห็นจดหมายสไตล์ตะวันตกเสียบอยู่ที่ประตูด้านล่าง
บางทีคนในห้องอาจจะไม่ได้สังเกต จึงไม่ถูกหยิบไป แต่จดหมายแบบนี้เหมือนกับที่คินโซใช้หรืออาจเป็นของ……
เกนจิเรียกเอวาและฮิเดโยชิ ก็ไม่มีการตอบรับอีก และพยายามเรียกให้ดังยิ่งขึ้น
คานอนแนบหูที่ประตู ได้ยินเสียงทีวีเปิดอยู่ แต่ไม่รู้สึกว่ามีใครอยู่ในห้อง
เกนจิหยิบจดหมายขึ้นมาซึ่งถูกปิดผนึกไว้ด้วย Wax สีแดง เป็นตราประจำตระกูล
เมื่อไม่มีเสียงตอบรับ เกนจิไขกุญแจเปิดห้อง
ประตูเปิดออกและเริ่มเห็นแสงไฟในห้องที่เปิดทิ้งไว้ แต่ประตูก็หยุดชะงักเพราะโซ่ในห้องคล้องไว้
เมื่อพยายามตระโกนเรียก ยังคงไม่มีสัญญาณตอบรับเช่นเคย

เกนจิตัดสินใจไปเรียกนัตสึฮิ และให้คานอนไปหาเครื่องมือมา
คานอนตอบรับและกำลังวิ่งไปหาเครื่องมือ แต่เกนจิก็เปลี่ยนใจ บอกให้คานอนรอก่อน
แล้วให้ไปกับเขาที่ครัวเพื่อหาคุมาซาวะและนันโจ ตอนนี้ไม่ควรแยกกันและเขาเกรงว่าคานอนอาจเป็นอันตราย ถ้าไปคนเดียว
เกนจิพานันโจที่ห้องครัว ให้ไปหานัตสึฮิพร้อมกับเขา
คานอนไปหาคุมาซาวะ แล้วพอเธอไปหาเครื่องมือกับเขา
ระหว่างหาเครื่องมือเขาเล่าว่าต้องการตัดโซ่ที่คล้องประตูห้องเอวา เนื่องจากเรียกแล้วไม่มีคนตอบ
เขาหยิบเครื่องตัดขนาดใหญ่ที่แขวนบนกำแพง จากนั้นรีบวิ่งไปที่ประตู

ป้าคุมาซาวะให้คานอนหยุด เมื่อมองไปที่ประตู หน้าของเธอก็ซีด และเห็นสัญลักษณ์เวทมนตร์บนประตู ที่วาดด้วยเลือด
สัญลักษณ์มีอักขระที่ต่างจากสัญลักษณ์ด้วยเล็กน้อย
คานอนตกตะลึง ไม่ใช่เพราะสัญลักษณ์ …… แต่เขาใช้เวลาไปหยิบเครื่องมือเพียง 5 นาทีเท่านั้น ทำไมถึงมีสัญลักษณ์นี้ได้
คุมาซาวะทรุดลงไป และเอ่ยถึงชื่อท่านเบียทริซ

คานอนกลืนน้ำลาย และพยายามที่จะตัดโซ่ในห้องของเอวาโดยเร็ว
ระหว่างนั้นคุมาซาวะเห็นจดหมาย และบอกว่าเป็นของนายท่าน โดยดูจากสัญลักษณ์ที่ปิดผนึก
คานอนยังตัดสินใจที่จะเปิดประตูแทนที่จะหยิบจดหมายขึ้นมาดู
เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ามาใช้ เพื่อไม่ให้เกิดรอยนิ้วมือบนประตู ซึ่งจะมีปัญหาต่อการสืบสวนของตำรวจในภายหลัง

ประตูห้องถูกเปิดอย่างช้าๆ เขาเห็นเอวานอนบนเตียงในสภาพที่หงายหน้าขึ้น แต่สังเกตว่าเธอใส่รองเท้าอยู่
ป้าคุมาซะวะเดินตามหลังคานอน เข้ามาในห้อง
เมื่อเข้าไปใกล้ๆ เอวา ทำให้คานอนตกตะลึงกับสิ่งที่อยู่บนหน้าผากของเอวา
มีดโบราณปักอยู่กลางศรีษะของเอวา …. เธอตายไปแล้ว ในสภาพที่กำลังลืมตาอยู่ หน้ากว่าครึ่งเต็มไปด้วยเลือด
ป้าคุมาซาวะทรุด ริมฝีปากเปิด-ปิดอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้กรีดร้องออกมา
** มีดโบราณมีการกล่าวถึงในภายหลังว่า ลักษณะแหลมคม ไม่ได้ใช้ตัด เหมือนหอกขนาดสั้น หรือมีดเจาะน้ำแข็งบางๆ ยาวประมาณ 25 เซนติเมตร (รวมด้ามจับ) **

คานอนรีบหาฮิเดโยชิที่ไม่อยู่ให้ห้อง เขาจึงไปเช็คในห้องน้ำ
เมื่อเปิดประตู ก็ได้ยินเสียงน้ำไหล ม่านในห้องน้ำถูกเปิดครึ่งนึง
ฮิเดโยชิเปลือยและจมอยู่ในอ่างอาบน้ำ เขาตายสภาพเดียวกับเอวา มีดโบราณปักหัว โดยที่ตายังเปิดอยู่
เพียงแต่เลือดไม่ได้เปอะหน้า เพราะหน้าเขาอยู่ในน้ำ

เสียงนัตสึฮิกำลังมา อาจมาพร้อมกับเกนจิ
เธอคุยเรื่องจดหมาย แต่เกนจิยังไม่ได้เปิดอ่าน
นัติสึฮิหยิบจดหมาย ก่อนที่เธอจะเปิดอ่าน เธอเข้ามาในห้องและพบกับศพของเอวา
คานอนออกมาบอกว่าฮิเดโยชิตายในห้องน้ำ เธอให้คานอนปิดน้ำ
เลือดในอ่างเจิ่งนองออกมา เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
มีการสันนิษฐานว่า พวกเขาคงตายเมื่อประมาณ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

นัตสึฮิให้ปิดห้องนี้ และไม่ให้พวกเด็กๆ เข้ามา
จอร์จและแบทเลอร์เพิ่งตามมาถึง
เนื่องจากจอร์จ เห็นว่าเกนจิมาเรียกนัตสึฮิออกไป และสีหน้าของนัตสึฮิซีด
เขารีบเข้าห้องพักของพ่อกับแม่โดยเร็ว เมื่อรู้ความจริงกรีดร้องออกมา
นัตสึฮิตามไปและจับไหล่ของเขา แต่ก็ถูกปัดออก
จอร์จทรุดลง หน้าเขาซุกที่เตียงใกล้ศพของเอวา และทุบเตียงหลายครั้ง

แบทเลอร์พิงกำแพงทางเดินอยู่ เขาเข้าใจความรู้สึกของจอร์จที่เสียทั้งคนรัก และพ่อแม่ในเวลาไล่เลี่ยกัน
แบทเลอร์น้ำตาซึมและยกมือขึ้นมาปิดตาของเขา กล่าวถึงเรื่องที่สักวันมนุษย์ทุกคนจะต้องตาย
มาเรียก็ขอให้เขาอย่าร้องไห้ เขาจึงเช็ดน้ำตา และตั้งใจจะจับคนร้ายให้ได้
“…… ชั้นจะหามัน ชั้นสาบาน จนถึงวันพรุ่งนี้ ไม่สิ ชั้นจะไม่รอถึงวันพรุ่งนี้ คืนนี้แหละ”
“ขั้นจะจับมันภายในคืนนี้ ….!!”

Chapter 14 : Boiler Room
Date : Oct 4 1986
Time : ???

นัตสึฮิขอปิดประตูนี้ไว้จนกว่าตำรวจจะมา
จอร์จดูจะทำใจได้แล้ว เขาไม่ได้ร้องไห้อีก
ส่วนจดหมายที่พบนั้น นัตสึฮิยังไม่เปิดผนึก ตั้งใจจะไปเปิดที่ห้องรับแขก

ระหว่างทางเดิน มาเรียบอกว่าเธอได้กลิ่นอะไรเหม็นๆ
ทุกคนก็เพิ่งสังเกตว่าเหมือนกลิ่นไหม้กระจายไปทั่วทางเดิน
คุมาซาวะขอไปเช็คที่ครัว เธออาจลืมปิดไฟไว้
เกนจิสั่งให้คานอนตามเธอไปด้วย

มาเรียถามเรื่องเปิดหน้าต่างระบายอากาศ เพราะกลิ่นแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็มีคนพัดให้เธอ
แบทเลอร์ขอพูดกับจอร์จเรื่องการฆาตรกรรมที่เกิดขึ้น
เรื่องโซ่ที่คล้องหน้าห้องที่ถูกตัดออก แน่อนว่าเป็นห้องปิดตาย
ต่างจากคลังในสวนกุหลาบ ที่หยิบกุญแจ หรือก็อบปี้กุญแจขึ้นมาได้
เมื่อรวมเรื่องที่ปู่หายตัวไปจากห้องที่มีใบเสร็จแนบอยู่ ตอนนี้มีเรื่องห้องปิดตายเกิดขึ้น 3 ครั้ง
แต่ครั้งที่ 3 นี้ ทุกอย่างถูกปิดผนึก ทั้งประตูและหน้าต่าง ยากที่จะอธิบายได้
ผู้ต้องสงสัยในครั้งแรก (6 คน) กลายเป็นผู้ต้องสงสัยทุกคน
ครั้งที่สอง (คินโซหายตัวไป) ยังคงสงสัยนัตสึฮิได้
แต่ในครั้งที่สาม (ห้องเอวา) ไม่สามารถสงสัยใครได้เลย
คนหนึ่งตายบนเตียง อีกคนตายในห้องน้ำ เรื่องที่จะสังหารโดยที่จะไม่เข้าห้องก็เป็นไปไม่ได้

มาเรียกระตุกชายเสื้อแบทเลอร์ ก่อนที่จะแสดงท่าทางแปลกๆ เช่นเคย
เธอบอกว่าเป็นเพราะแบทเลอร์สงสัยถึงการมีตัวตนของแม่มด เธอจึงทำให้เขาสมหวังโดยการฆ่าแบบที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้
แบทเลอร์เขกหัวมาเรียที่กำลังหัวเราะ เขาไม่ได้ตื่นตระหนกกับเรื่องนี้
มาเรียวางท่าในการอธิบายสัญลักษณ์บนประตูห้อง เลยถูกเขกซ้ำ เธอจึงอธิบายให้ฟัง
“เป็นสัญลักษณ์หมายเลข 1 แห่งดวงจันทร์”
แบทเลอร์ตั้งคำถามมากมายกับสัญลักษณ์เหล่านี้ มาเรียจึงอธิบายความหมาย ในโคลง 16 บทที่ 107
“….ราชาทลายประตูทองแดง และทำลายกลอนเหล็กให้ข้า”
“สัญลักษณ์นี้มีประโยชน์ 2 อย่าง อย่างแรกถ้าประตูถูกปิดด้วยวิธีใดๆ มันจะสามารถเปิดได้”
“เป็นเวทมนตร์ที่มีประโยชน์มาก”

แบทเลอร์กล่าวขยายความเหมือนประชดเรื่องแม่มด ก่อนที่จะถามถึงประโยชน์อีกข้อ
“มันเลือกประตูที่ไม่สามารถเปิดได้ตามปกติ…”
มาเรียโดนเขกหัวซ้ำ แบทเลอร์ขอบคุณมาเรีย และกล่าวท้าทายแม่มด
จอร์จบอกมาเรียว่าเขาไม่เชื่อเรื่องแม่มด และมั่นใจว่ามนุษย์เป็นคนก่อคดีขึ้น
* ช่วงนี้โดนเขกไปประมาณ 4 ทีได้

ระหว่างนั้นคุมาซาวะและคานอน เดินไปถึงครึ่งทางก่อนถึงห้องครัว
ซึ่งรู้สึกว่ากลิ่นไม่ได้จากห้องครัว แต่ได้กลิ่นที่แรงกว่าจากชั้นใต้ดิน
น่าจะเป็นห้องต้มน้ำ ซึ่งมีสภาพเก่าและแย่ ซึ่งทั้งสองเคยได้กลิ่นจากห้องนี้
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่กลิ่นเหม็นแบบนี้

ตุ๊บ

“นั่นเสียงอะไร …. !?”
เสียงมาจากชั้นใต้ดิน เหมือนเสียงปิดประตู
คุมาซาวะเข่าอ่อนอีกครั้ง เธอรู้ว่าไม่น่าจะมีใครไปอยู่ที่นั่นในเวลานี้
คานอนตั้งสติได้ และรีบวิ่งลงไปด้านล่างโดยเร็ว
ถ้าห้องต้มน้ำมีเพียงทางออกเดียว เขาคงไม่ต้องรีบวิ่งแบบนี้
แต่เพราะเขารู้ดีว่าทางเข้ามีสองทาง คือ จากแมนชั่นและสวน ถ้าเขาไม่รีบ เขาจะพลาดโอกาสจับคนร้าย
คุมาซาวะก็เริ่มตั้งสติได้ ถึงเธอรู้ว่าเธอจะไม่มีประโยชน์มากนัก แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้เขาไปตามลำพัง
คานอนมาถึงที่ห้องต้มน้ำ บรรยากาศในห้องร้อนอบอ้าว มีทั้งความชื่นและกลิ่นที่แย่  ทำให้เขารู้สึกคลื่นไส้

เขาหยิบขวานที่มีคมยาว (เหมือนปังตอเรนะใน Higurashi) ที่พอเป็นอาวุธได้จากชั้นเครื่องมือหน้าทางเข้ามาด้วย
ในห้องค่อนข้างมืด และแสงไฟสลัว

“สำหรับรูเล็ต แกเสี่ยงโชคกับตัวเลขหรือแดง-ดำ และแข่งเพื่อชนะ”
“…. แต่การพนันแบบความเสี่ยงต่ำ มีเพียงเลือกแดงและดำ ซึ่งจะได้เงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
คานอนพูดประโยคเหล่านี้ในความมืด
ทันใดนั้นในความมืดก็มีแสงส่องมา ช่างเป็นภาพที่ประหลาด
ผีเสื้อส่องแสงสีทอง จากในหลายจุดของห้องต้มน้ำ
คานอนเดินเข้าไปในห้องและพูดต่อ
“ถ้าแกเสี่ยงโชคกับความเป็นได้ที่ต่ำ แกจะได้รับอัตราเสี่ยงที่สูง”
“….. นายท่านเรียกมันว่า “ปฏิหารย์” เมื่อแกตั้งใจเอาชนะความเสี่ยงแบบนั้น”
“และเรียกมันว่า “เวทมนตร์” และได้รับผลประโยชน์จำนวนมาก”
เขาพูดต่อ ซึ่งเปรียบเหมือนว่ายังมีเลข 0 ที่เจ้ามือจะเป็นฝ่ายชนะ ไม่ว่าผู้เล่นจะเลือกแดงหรือดำก็ตาม
เขาเปรียบตัวเองเป็นเลข 0 ในรูเล็ต ที่คนในเงามืดไม่มีโอกาสชนะ

คานอนยังเดินเข้าไป  ในมือยังกำขวานไว้แน่น
เขาตระโกนต่อ
“ชั้นจะไม่สับสนกับคำพูดของแกอีกแล้ว กับรูเล็ตปีศาจที่ทำขึ้น”
“แก แกต้องไปและรอผู้อัญเชิญในนรกในอีกพันปีข้างหน้า เบียทริซ!!!”
คานอนยกขวานขึ้นและเข้าไปในความมืด

แคร๊ง

เสียงขวานของคานอนตกลงสู่พื้น และมีเสียงตุ๊บอีกสองครั้งตามมา
เข่าของคานอนทรุดลงบนพื้น สองเสียงที่ตามมานั้น เป็นเสียงจากเข่าซ้ายและขวา
หลังจากมีดตกลงพื้น เขายกแขนลงอย่างช้าๆ ราวกับพยายามจับอากาศ
คานอนถูกแทงเข้าที่อก และมือข้างหนึ่งของเขา
อาวุธเหมือนกับที่ปักเข้ากลางหน้าผากของเอวาและฮิเดโยชิ

ก่อนที่คานอนจะสิ้นลมหายใจ เขาพยายามเฮือกสุดท้าย ดึงอาวุธออกจากอก
เลือดพุ่งออกมาจำนวนมาก ราวกับฉีดสเปรย์กลางอากาศ
คุมาซาวะที่ตามมา พบร่างคานอนท่ามกลางกองเลือด
ป้าเริ่มสับสน เธอคิดว่าเป็นโชคร้ายของเขาที่มาตามลำพัง
แต่ในอีกแง่ ก็เป็นโชคดีที่เธอไม่ได้มาพร้อมกับเขา ไม่เช่นนั้นเธอก็อาจตายไปด้วย

นัตสึฮิรีบตามมา พร้อมถืออาวุธปืน โดยมีเกนจิและแบทเลอร์ตามมาด้วย
เมื่อเห็นร่างของคานอน เธอให้เกนจิไปตามนันโจมา
ส่วนเธอเตรียมปืนเล็งไปในความมืด พร้อมบอกให้คนในความมืดปรากฏตัวออกมา
แบทเลอร์รีบเปิดไฟ เมื่อห้องสว่างขึ้น ก็เห็นประตูเล็กๆ ในอีกฟากถูกเปิดออก
เขารีบถามว่าประตูเชื่อมไปยังที่ไหนโดยเร็ว ซึ่งเกนจิก็บอกว่าไปยังสวน
แบทเลอร์รีบร้อน ตามไปโดยลำพัง โดยมีนัตสึฮิรีบตามไปด้วย
เมื่อถึงสวน ที่เต็มไปด้วยกำแพง เขาหมุนตัวรอบๆ หลายครั้ง …. แต่ก็ไม่พบคนร้าย และไม่รู้ว่าคนร้ายหนีไปทางไหน
แบทเลอร์ชกกำแพง เอาหัวพิงกำแพง ร้องไห้ และเล็บกรีดที่กำแพง เขาพรรณาถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
นัตสึฮิที่ตามมากล่าวว่าเธอ เธอจะปกป้องเด็กๆ ทุกคนราวกับเป็นแม่ และตัวแทนของตระกูล Ushiromiya
ด้านแบทเลอร์หลังจากร้องไห้บนอกของนัตสึฮิมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง เขาก็เริ่มเช็ดน้ำตา
ทั้งสองกลับมาทางห้องใต้ดิน ด้านดร.นันโจและจอร์จพาคานอนไปที่ห้องคนใช้ และพยายามช่วย
คุมาซาวะและเจสซิก้าก็มาอยู่ที่ห้องต้มน้ำด้วย ตามด้วยเกนจิและมาเรีย
เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ แต่ดูเหมือนทุกคนจะสนใจกลิ่นที่อยู่ในเตาเผามากกว่า
พอเปิดเตาเผา กลิ่นเหม็นไหม้ที่ออกมาอย่างรุนแรง
นั่นเป็นกลิ่นของศพมนุษย์
ภายในเตา ศพถูกเผาจนไม่สามารถแยกแยะ เสื้อ, ผิว, ผม ได้ ทุกอย่างถูกเผาจนเกรียม
มีดเจาะน้ำแข็งปักอยู่กลางหน้าผากของศพ
คนเดียวที่คิดว่าเป็นไปได้ คงเป็นคินโซเท่านั้น ซึ่งแบทเลอร์คิดว่ายังไม่สามารถยืนยันได้

แต่เกนจิก็ให้ดูที่นิ้วเท้าของศพ ซึ่งนายท่านมีนิ้วเท้า 6 นิ้ว ทั้งสองข้าง ตั้งแต่กำเนิด … ซึ่งยืนยันได้ว่าศพนั้นเป็นคินโซ
เมื่อก่อนในตระกูลนี้ เคยมีคนที่เกิดมามีหลายนิ้วหลายคน เหมือนเป็นพันธุกรรม
ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ทารก 1 ใน 2,000 คนจะเป็นแบบนั้น
อย่างไรก็ตาม แหวนของผู้นำตระกูลก็ไม่ได้อยู่ในศพ

ศพน่าจะถูกเผามานานแล้ว และกลิ่นก็สะสมในห้องจนมีคนเปิดห้องต้มน้ำ
ห้องต้มน้ำปกติจะปิดตลอดเวลา แต่เหมือนกับใครตั้งใจเปิดเพื่อล่อให้คนเข้ามา แล้วหนีไปอีกทางหนึ่ง
ตอนนี้เริ่มมั่นใจแล้วว่าคนที่ 19 มีจริง

เมื่อทุกคนออกจากห้อง มาเรียยังคงสนใจกับศพอยู่ แบทเลอร์จึงเขกหัวเธอ
และถามถึงความตั้งใจของเบียทริซที่ก่อเหตุนี้
มาเรียเปลี่ยนท่าที ตอบว่าเบียทริซจะคืนชีพเร็วๆ นี้ และทุกคนในที่นี้จะไม่รอด
แบทเลอร์อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมเธอถึงไม่หวาดกลัวต่อเรื่องนี้ นั่นหมายถึงเธอต้องตายเช่นกัน
มาเรียจีงตอบว่าเบียทริซสัญญากับเธอว่าจะพาไปยังหมู่บ้านทองคำ ซึ่งเป็นที่มหัศจรรย์มาก และเธอก็อยากไป
เขาอดคิดไม่ได้ว่ามาเรียที่น่ารักตอน 3 ขวบ ทำไมถึงเปลี่ยนไปมากในตอนนี้ หรือเป็นแม่มดในร่างของมาเรีย
แบทเลอร์ยังคงขอถามคำเดิมว่า ใครมอบจดหมายให้มาเรีย และคำตอบยังคงเป็นเหมือนเดิม เบียทริซ
เขายังสงสัยถึงคนที่ 19 อยู่ดี และสงสัยว่าเธอเป็นคนส่งสารของเบียทริซที่ถูกยอมรับ
ตอนนี้เขาอยากรู้ถึงเนื้อความในจดหมาย ที่นัตสึฮิน่าจะถืออยู่

Chapter 15 : Besieged
Date : Oct 4 1986
Time : 22.00

สุดท้าย คานอนก็ไม่สามารถทนพิษบาดแผนได้ เกิดความสามารถที่จะใช้รักษาเขา
เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ได้พบหน้าคนร้าย ดร.นันโจพยายามจนสุดความสามารถแล้ว
คุมาซาวะกล่าวขอโทษทุกคน ซึ่งบางคนก็บอกว่าเธอโชคดีที่ไม่ได้อยู่ด้วยเพราะอาจเป็นอันตราย
แต่เจสซิก้าก็พูดว่า ถ้าป้าอยู่กับเขา คนร้ายอาจหนีไป แทนที่จะเล่นงานคานอน

ป้าได้แต่ก้มหน้าลงเมื่อขอโทษ จอร์จคุยกับเจสซิก้าและเข้าใจอารมณ์เธอ เขาน้ำตาซึมเช่นกัน
มาเรียยังคงพูดเรื่องเกี่ยวกับความตาย ซึ่งทุกคนจะตายเร็วๆ นี้
ทำให้เจสซิก้าระเบิดอารมณ์ออกมา และถามหาว่าเบียทริซมีตัวตนจริงเหรอ
มาเรียยังยืนยันเรื่องที่เบียทริซมีตัวตน
ทำให้เจสซิก้าโมโหและเข้าไปตีมาเรีย เพราะเธอน่าจะรู้ว่าฆาตกรอยู่ที่ไหน

จอร์จหยุดเจสซิก้าเอาไว้ ก็ไม่มีท่าทีที่จะสงบลง
นัตสึฮิจึงตบหน้าเธอ
จนเธอเริ่มสงบลง
……. ถามมาเรียเรื่องคนที่มอบจดหมายให้ ว่าใครที่เป็นเบียทริซ
มาเรียยังตอบเหมือนเดิม ทั้งเรื่องจดหมาย และเรื่องที่เบียทริซจะพาเธอไปยังหมู่บ้านทองคำ
และเพิ่มประโยคที่เบียทริซกล่าวกับเธอว่า “ทุกอย่างจะจบลงก่อนที่ใต้ฝุ่นจะหยุด”
เจสซิก้าไม่ไว้ใจมาเรียอีก เธอคิดว่ามาเรียเป็นสปาย และให้เธอออกจากลุ่มพวกเรา

ตอนนี้เหลืออยู่ 8 คน ในกลุ่ม และเป็นเวลาสองทุ่ม ยังอีกนานกว่าจะถึงรุ่งสาง
เมื่อถามเกนจิ ถึงรู้ว่าคนใช้ทุกคนมีกุญแจหลักอยู่ ตอนนี้คนร้ายก็น่าจะมีกุญแจสำหรับเปิดทุกห้องในเขตแมนชั่นแห่งนี้เช่นกัน
ลูกซองของนัตสึฮิอาจจัดการกับคนร้ายได้ ดูเหมือนมาเรียจะพยายามพูดบางอย่าง
แต่ก็เงียบไป ซึ่งพอเดาได้ว่าเธออยากบอกว่า ปืนใช้ไม่ได้ผลกับแม่มด ถ้าพูดเช่นนั้น บรรยากาศคงจะมืดมนอีกครั้ง
กุญแจที่เปิดห้องของคินโซได้ มีเพียงสองดอก คือ ดอกที่เกนจิมีติดตัว
และอีกดอกที่เกนจิพบในศพที่ถูกเผา มีสภาพที่สกปรก

ตอนนี้น่าจะเป็นสถานที่ๆ ปลอดภัยที่สุดในที่แห่งนี้ แม้ว่าคินโซจะหายตัวออกจากห้องโดยไม่เปิดประตูก็ตาม
ขนาดของห้องมากพอที่จะรับคนได้ 8 คน จึงน่าจะเป็นสถานที่ซึ่งปลอดภัยในแมนชั่น
…..  เป็นเรื่องน่าแปลกที่ปู่สร้างบ้านอีกหลังในบ้านของเขา
(ช่วงนี้แบทเลอร์คิดเรื่องอดีตอีกยาว และสนทนาเรื่อง Invert the Chess Board (พลิกกระดาน) กับคนอื่น)

หลังทานอาหารในห้องรับแขก ทุกคนเดินขึ้นชั้น 3 ไปยังห้องของปู่ ซึ่งก็มีกลิ่นชวนปวดหัวจากห้อง
ก่อนเปิดประตู มาเรียให้ความสนใจกับประตูและลูกบิด
เนื่องจากความเก่าแก่ของประตู เธอเชื่อว่าสามารถป้องกันโรคร้ายและวิญญาณได้
“….. บางที เบียทริซ อาจจะไม่สามารถเปิดประตูนี้ได้”
เธออธิบายเพิ่มเติม โดยชี้ไปที่ลูกบิด มีสัญลักษณ์แมงป่องอยู่

“สัญลักษณ์เวทมนตร์ที่ 5 แห่งดาวอังคาร มีพลังในการขับไล่วิญญาณชั่วร้าย”
เช่นเดียวกับสัญลักษณ์ที่ให้แบทเลอร์และเจสซิก้าไป
แล้วเบียทริซพาตัวคินโซไปได้อย่างไร ?
มีการยกตัวอย่างในการ์ตูน ที่แวมไพร์ไม่สามารถผ่านไม้กางเขนเข้าไปได้ แต่มีปีศาจส่งสาร ทำลายไม้กางเขน
เมื่อมาเรียพูดเรื่องสัญลักษณ์ที่ให้ทั้งสอง และทำหายไป เจสซิก้าก็ตอบว่าเธอให้แม่ของเธอ
นัตสึฮิเอาไปแขวนที่ประตู ทำให้มาเรียรู้ว่า เธอรอดจากเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนได้อย่างไร
แต่ก็ยังคงมีคนไม่เชื่อการมีตัวตนของเบียทริซเช่นเดิม

เกนจิเปิดประตู ซึ่งมีเสียงดังชัดเจน
ทุกคนเข้ามาด้านใน พอปิดประตูก็จะมีเสียงปิดประตูเช่นกัน เป็นประตูแบบล็อคทันทีเมื่อปิด
แบทเลอร์สำรวจหน้าต่างซึ่งล็อคอย่างแน่นอน
ไม่น่าแปลกที่ห้องนี้จะถูกเรียกว่าห้องค้นคว้า เพราะใหญ่จนไม่คิดว่าจะเป็นห้องเลย
แบ่งเป็น 4 โซนที่กว้างมาก ที่ค้นคว้า, ส่วนที่พัก, ห้องน้ำ และ ที่กินอาหาร ไม่แปลกที่คินโซจะอยู่ได้โดยไม่ออกจากห้อง
ในห้องไม่มีทีวี ซึ่งดูเหมือนคินโซจะไม่ชอบดูทีวีสักเท่าไหร่

นันโจมองที่กระดานหมากรุก ที่เหมือนจะเล่นค้างไว้ ยังไม่จบ
แบทเลอร์ถามเขา นันโจก็ตอบว่าถึงเขาจะรู้จักคินโซมานาน แต่ก็ไม่ได้เข้าใจความคิดเขาทั้งหมด
ราวกับมีสองบุคลิกที่อยู่ด้วยกัน
เมื่อมองไปที่กำแพง มีภาพวาดของเบียทริซขนาดเล็กตั้งอยู่ในห้องนี้ด้วย
เขาคิดว่าเบียทริซคงมีความสำคัญต่อคินโซมาก
ระหว่างนั้น ทุกคนก็กินอาหารกระป๋องที่หยิบมาจากครัว

เมื่อทักเรื่องจดหมาย นัตสึฮิจึงนำมาอ่านให้ทุกคนฟัง
… แต่ดูเหมือนเธอจะชะงัก เมื่อจะเริ่มอ่าน
ทุกคนสงสัยเนื้อหาในจดหมาย จึงมาดูที่จดหมาย
“สรรเสริญนามของข้า ….”

ต่างคนต่างสงสัยเกี่ยวกับเนื้อความนี้
เมื่อสอบถามเรื่องความสัมพันธ์ของเบียทริซกับปู่
ดูเหมือนคนรับใช้ทั้งสองจะหยุดนิ่ง

“เธอเป็นภรรยาลับของปู่ใช่ไหม ?”

ต่างคนก็ต่างเห็นพ้องต้องกัน ซึ่งเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง
เกนจิจึงเล่าว่า เบียทริซรับใช้ปู่เมื่อปีโชวะที่ 27 (1952) ยาวนานมากกว่า 30 ปี
เขามั่นใจว่าคินโซรักเธอมากกว่าภรรยาเสียอีก
แต่เกนจิได้ยินว่าเธอตายไปก่อนที่แมนชั่นนี้จะเสร็จสมบูรณ์
นั่นทำให้คินโซโศรกเศร้ามาก และทำหลายอย่างแบบบ้าคลั่ง
การสะสมหนังสือเวทมนตร์, ยา และทุกสิ่ง ทำขึ้นเพื่อฟื้นคืนคนรักของเขา
มาสเตอร์เคยเล่าเรื่องเหล่านี้ให้เกนจิฟัง ในขณะที่เขาดื่มอย่างหนัก
ซึ่งเขาก็ลืมรายละเอียดหลายๆ อย่างไปแล้ว แต่เป็นเรื่องความรักที่สุดจะลึกซึ้ง จนคนอื่นรู้สึกอิจฉา
เขาแต่งกับภรรยา เพราะเป็นความปรารถนาของอดีตผู้นำตระกูลอุชิโรมิยะคนก่อน

แบทเลอร์สงสัยเรื่องที่เกนจิเล่า เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องแม่มด
ดูเหมือนเกนจิจะไม่อยากเล่ารายละเอียดบางอย่าง ซึ่งจะเป็นการทรยศเจ้านายของเขาที่ตายไป
เขาคิดจะเก็บมันไปจนถึงวันตาย

จอร์จพูดเรื่องที่ว่า ถ้าเขาต้องการคืนชีพแชนนอน เขาคงจะเป็นมาสเตอร์ของห้องนี้ต่อไป
น้ำตาของเขา เริ่มรินไหลออกมา
มาเรียพูดเรื่องของเบียทริซที่กำลังจะคืนชีพอีกครั้ง โดยพูดเสริมว่า
“….. เร็วๆ นี้ ประตูแห่งหมู่บ้านทองคำจะเปิดออก ดินแดนแห่งคำสัญญาที่เจิดจรัสไปด้วยแสงสีทอง”
“ที่ซึ่งดวงวิญญาณคนตายจะฟื้นคืน และความรักที่สูญสิ้นจะฟื้นคืน”
“และชั้นจะหลับต่อไปชั่วนิรันดร์ในโลกที่สงบสุข”

ตอนนี้แบทเลอร์เริ่มเชื่อในการมีตัวตนของเบียทริซ จากความพยายามของปู่กว่าครึ่งชีวิต
ในด้านความคิดกลุ่มผู้หญิง ดูจะไม่พอใจเรื่องภรรยาลับของคินโซนัก
แบทเลอร์ถามเรื่องลูกระหว่างปู่และเบียทริซ เกนจิไม่รู้เรื่องนี้
“นี่นายไม่รู้หรอกเหรอ ? ว่าปู่เป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เรียกว่า “Fukunon House”

คนรับใช้บางคนก็มาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนั้น โดยในขณะนี้ก็มีเพียงแชนนอนและคานอน
เริ่มมีการพูดถึงคำจารึกเกี่ยวกับคนที่ตาย โดยใช้ 6 คนบูชายัน
ถ้าเป็นไปตามนั้นต้องมีคนตายถึง 6 + 2 + 5 = 13 คน
ถ้านับเฉพาะคนในตระกูลจะมีไม่พอที่จะทำพิธีกรรม
แต่ถ้ารวมคนที่มาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยก็น่าจะครบ

นัตสึฮิเริ่มเข้าใจว่าถ้าเธอไม่มีเครื่องราง เธอคงจะเป็น 1 ใน 6 คนที่ถูกฆ่า
กลุ่มเอวาและฮิเดโยชิคงเป็นคืนที่ 2 ที่ถูกฆ่า
จากนั้นก็เริ่มอ่านจดหมายเกี่ยวกับการบูชายัน
คืนที่ 3 คนที่เหลือจะสรรเสริญนามของข้า
คืนที่ 4 เจาะส่วนหัวและฆ่า
……. นั่นหมายถึงปู่
คืนที่ 5 เจาะส่วนอกและฆ่า
……. คานอน
ยังเหลืออีก 3 คน ?
คืนที่ 6 เจาะส่วนท้องและฆ่า
คืนที่ 7 เจาะส่วนเข่าและฆ่า
คืนที่ 8 เจาะส่วนขาและฆ่า
อ่านต่อจากนั้น
คืนที่ 9 แม่มดจะคืนชีพ ไม่มีใครเหลือรอด
พวกเขาเริ่มไม่เข้าใจ ถ้าเป็นเช่นนั้นปู่ก็ต้องตายด้วย
แล้วจะคืนชีพเธอขึ้นมาเพื่ออะไร ?
คืนที่ 10 คุณจะถึงหมู่บ้านแห่งทองคำ
แม่มดจะกล่าวสรรเสริญผู้มีปัญญาและมอบของขวัญทั้ง 4

“ปูไม่ได้กลัวความตาย ดูสมบัติที่ 2 และ 3 ของทั้ง 4 ชิ้น”
.   คนหนึ่งจะทำให้วิญญาณคนตายทั้งหมดฟื้นคืน
คนหนึ่งจะจะทำให้คนรักคืน
“นั่นหมายถึง ต่อให้ปูตายระหว่างพิธีกรรม เขาเชื่อว่าเขาจะคืนชีพได้ ?”
เมื่อสอบถามคนรับใช้และคนใกล้ชิด ไม่มีใครรู้เรื่องพิธีกรรมนี้ และถ้ารู้ก็คงไม่อยู่บนเกาะนี้

แบทเลอร์เริ่มเชื่อว่า เบียทริซน่าจะติดต่อปู่หลังจากที่ได้ยินเรื่องจดหมายที่มาเรียได้รับ
เขาครุ่นคิดเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองที่น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆ
ระหว่างนั้นมาเรียก็ทำให้ทุกคนตกตะลึง

“….จดหมายของเบียทริซมาอีกแล้ว”

มือของมาเรียถือจดหมายฉบับหนึ่ง ทั้งที่จดหมายเดิมยังอยู่ในมือนัตสึฮิ
“หมายความว่ายังไงมาเรีย !!! จดหมายนั่นมาจากไหน !?”
“…. เมื่อชั้นมอง มันก็วางอยู่ตรงนี้”
ทุกคนเริ่มสับสน มีคนที่ 9 อยู่ในห้องนี้
นัตสึฮิสั่งให้ทุกคนยืนติดกำแพง เธอส่องปืนไปที่เกนจิและคนอื่น
สีหน้าของเกนจิ เหมือนบ่งบอกว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย

แบทเลอร์ถูกสั่งให้เปิดจดหมายและอ่าน มันถูกปิดผนึกเช่นกัน
เขาเปิดผนึกโดยไม่ใช้มีดตัด
” พวกแกสนุกกับปริศนาที่คินโซทิ้งไว้ไหม ?”
“ข้าว่าพวกแกคงไขปริศนาได้แล้ว แต่พวกแกก็เหลือเวลาไม่มาก”
“ลืมเรื่องที่พายุหายไป แล้วพวกแกจะหนีไปได้ซะ”
“เกมนี้ ไม่มีผลลัพธ์อื่นนอกจากใครสักคนจะชนะ พวกแกทุกคนหรือข้า”
“เมื่อเวลาหมดลง จะเป็นชัยชนะของข้า”
“มันจะไม่จบที่การเสมอ”
“อย่าเข้าใจมันผิดล่ะ”

เมื่ออ่านจบ นัตสึฮิเล็งปืนไปที่คุมาซะวะเพราะอยู่แถวหน้าภาพวาด น่าจะเป็นคนวางจดหมาย
แม้ว่าคนในตระกูลจะเคยอยู่ตรงนั้นก็ตาม
ยิ่งกรณีที่เธอตามคานอนไป ทำให้เธอกลายเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเธอฆ่าคานอน
เจสซิก้ากล่าวเสริม ตอนที่เอวาและฮิเดโยชิตาย เรื่องคนรับใช้ที่ไม่มีพยานก็น่าสงสัยอีก
นันโจขอให้นัตสึฮิสงบอารมณ์ แต่เธอก็ไม่ไว้ใจนันโจ เพราะรู้จักคินโซมานาน อาจจะรู้จักเบียทริซก็ได้
เกนจิก็ถูกสงสัยไปด้วยในฐานะคนรับใช้คนสนิท ไม่เว้นแม้แต่มาเรียก็เช่นกัน
คำถามเรื่องคนส่งจดหมายยังถูกถามไปที่มาเรีย และได้คำตอบเดิม
มาเรียพยายามบอกว่าเบียทริซอยู่ที่นี่ แต่นัตสึฮิก็ยังปฏิเสธเสียงกร้าว

มาเรียท้าทายให้เธอยิง ซึ่งเธอไม่เกรงกลัวความตาย เพราะเธอจะได้ไปยังหมู่บ้านทองคำแน่นอน
เจสซิก้าและจอร์จพยายามห้ามนัตสึฮิที่กำลังสับสน
บางทีผู้ร้ายอาจอยู่ใน 1 ทั้ง 4 คน …… หรือทั้ง 4 อาจร่วมมือกัน

นันโจยอมรับสถานการณ์ เขาตั้งใจออกจากห้องไปนั่งเล่นหมากรุกในห้องรับแขกต่อกับเกนจิ
ซึ่งเกนจิก็ยอมรับข้อตกลง
ป้าคุมาซาวะยังไม่อยากออกจากห้อง และขอร้องเธอ
แน่นอนว่าถ้าป้าไม่มีความผิด เธอจะกลายเป็นไปอยู่กับพวกผู้ต้องสงสัยด้วย
แต่กรณีการตายของคานอน และการที่เธอไม่มีพยานทำให้เธอต้องสงสัยมาก
มาเรียกล่าวว่า คุมาซาวะไม่น่าจะเป็นอันตรายเพราะเธอเชื่อในการมีตัวตนของเบียทริซ
อีกทั้งเธอจะไปดูทีวีในห้องรับแขกด้วย เพราะที่นี่ไม่มีทีวีและน่าเบื่อสำหรับเธอ
ถึงป้าจะไม่อยากไป แต่จำใจต้องออกไปทั้งน้ำตา

เกนจิมอบกุญแจสำหรับเปิดห้องนี้ทั้งสองดอกให้นัตสึฮิ และกุญแจสำหรับเปิดในเขตแมนชั่นนี้ทั้งหมด
แบทเลอร์หยิบของสิ่งหนึ่งให้มาเรีย
มันเป็นกุญแจสลักรูปแมงป่องที่เขาบอกว่าทำหายไปแล้ว
ที่ผ่านมาเขาโกหกเรื่องนี้กับมาเรีย เขาไม่ปล่อยให้ของสำคัญของมาเรียหายไปแน่นอน

Chapter 16 : The Golden Witch
Date : Oct 5 1986
Time : 23.30

ผู้ต้องสงสัยทั้ง 4 ได้ออกจากห้องไปแล้ว
ทั้ง 4 คุยกันระหว่างที่นอนไม่หลับ
– ในหัวข้อเรื่องของมาเรีย มีการคุยถึงพ่อของมาเรียที่ไปต่างประเทศและไม่เคยกลับมา
บางทีโรซ่าอาจคิดเรื่องแต่งงานใหม่ก็เป็นไปได้
– เจสซิก้าเกิด หลังเคลาส์แต่งกับนัตสึฮิมา 12 ปี

แบทเลอร์อ่านหนังสือ และพบความหมายสัญลักษณ์ที่เหมือนกับจดหมายฉบับล่าสุด
สัญลักษณ์ที่ 3 ของดาวอังคาร
ภาษาฮิบรู บทที่ 77 โคลง 13 ของไบเบิ้ล
“พระเจ้าคนอื่นที่ยิ่งใหญ่เหมือนท่านมีตัวตนหรือไม่ ?”
ความหมายคือ “ความขัดแย้ง”

ทุกคนเริ่มรู้สึกว่าคนข้างนอกไม่ปลอดภัย
เริ่มคิดจะออกไปดูคนข้างนอก

ระหว่างนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ….. มันใช้ไม่ได้ไม่ใช่เหรอ !?
อาจเป็นโทรศัพท์ของมาเรีย หรือถ้าผู้ต้องสงสัยทำให้มันใช้งานไม่ได้ คนที่ติดต่อเข้ามาก็อาจจะเป็น …..

นัตสิฮิรับโทรศัพท์ เธอได้แต่พูดว่า “ฮัลโหล” ซ้ำๆ
จากนั้นก็หยุดพูด และฟัง
“…. เสียงเพลง ?”
เมื่อคนอื่นฟัง ได้ยินเสียงเหมือนเด็กผู้หญิงร้องเพลง
ถึงจะคล้ายมาเรีย แต่ก็คิดว่าไม่ใช่
ไม่มีเสียงตอบรับ ทุกคนตั้งใจจะไปหาทั้ง 4 ที่อยู่ห้องนั่งเล่น แม้จะเป็นกับดักก็ตาม
แบทเลอร์หยิบเชิงเทียนมาเป็นอาวุธ มันดูเหมือนหอกสามง่าม

ทุกคนออกจากห้อง ซึ่งคิดว่าพวกเขายังน่าจะอยู่ที่ห้องรับแขก
ระหว่างที่ค้นหา เริ่มคิดได้ว่าอาวุธที่เหมือนมีดเจาะน้ำแข็งนั้นไม่น่าเจาะกระโหลกได้ง่ายๆ
แสดงว่าคนที่แทงได้นั้น ต้องแข็งแรงมากๆ …. หรืออาจไม่ใช่แรงของมนุษย์

ประตูห้องรับแขกถูกปิด แต่ได้ยินเสียงมาเรียร้องเพลงด้านใน
นัตสึฮิจะเปิดประตู และให้ทุกคนระวังตัวไว้ อาจถูกโจมตีทันทีเมื่อเข้าห้อง
เนื่องจากกุญแจมี 10 ดอกจึงต้องใช้เวลาค้นหาสักพัก
เมื่อเตรียมพร้อมก็ทำการเปิดประตู

ห้องรับแขก …… เต็มไปด้วยเลือด
ห้องที่อยู่มาทั้งวัน ถูกปกคลุมไปด้วยสีแดง ราวทะเลสีเลือด
บนพื้น เกนจิ, คุมาซาวะ และดร. นันโจ นอนจมกองเลือดอยู่
บริเวณใบหน้าทุกคนถูกทำลาย ร่างทั้งสามถูกมีดเซาะน้ำแข็งแทง
เกนจิถูกแทงที่ท้อง
ดร.นันโจถูกแทงที่เข่า
ป้าคุมะซาวะถูกแทงที่ขา
ทุกคนตายสนิท ไม่มีใครสามารถเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้

มีเพียง มาเรียคนเดียวที่ยืนอยู่ในห้อง
หูโทรศัพท์ถูกวางจากแป้น ซึ่งเสียงมาจากห้องนี้แน่นอน
เจสซิก้า เรียกมาเรีย แต่เธอก็ไม่ตอบรับ
สักพักมาเรียก็มาคุยกับทุกคน
คำตอบจากปากเธอ ….. เบียทริซเป็นคนลงมือ  …..

เธอเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เบียทริซให้เธอร้องเพลงแล้วหันหน้าเข้ากำแพง
ถึงเกนจิล็อคห้อง แต่เบียทริซแปลงเป็นผีเสื้อแล้วเข้ามายังห้องนี้
เธอเลือกคนที่บูชายัญ 3 ใน 4 คน
เธอไม่เลือกมาเรีย เพราะเธอถือกุญแจแมงป่อง สัญลักษณ์ที่ 5 แห่งดาวอังคารที่ได้จากแบทเลอร์

เมื่อสังเกตนัตสึฮิไม่อยู่ในห้อง เหลือแต่จดหมาย
เชิงเทียนที่แบทเลอร์ขว้างทิ้ง หายไป
เธอเอามันไปใช้ล็อคประตู โดยใช้เชิงเทียนค้ำประตูห้องนี้เอาไว้

นัตสึฮิยืนที่หน้ารูปของเบียทริซที่หน้าห้องโถง
เธอมาที่นี่หลังอ่านจดหมาย และขว้างมันทิ้ง
ปืนลูกซองเล็งไปที่พื้นที่ว่างขนาดใหญ่หน้าทางเข้า

” ชั้นเป็นตัวแทนของตระกูลอุชิโรมิยะ, อุชิโรมิยะ นัตสึฮิ !!!
แสดงตัวออกมา แม่มดทองคำ เบียทริซ !!!”
ห้องโถงมืดสลัว แต่มีแสงสว่างจากความมืด เป็นแสงจากผีเสื้อ
เธอท้าทายเบียทริซ และเตรียมที่จะยิง

ในที่สุด พวกแบทเลอร์ ก็พังประตูเข้ามาได้ และได้ยินเสียงเหนี่ยวไกปืน จากห้องโถง
ใครเป็นคนร้ายกันแน่ ?
สิ่งที่แบทเลอร์และเจสซิก้าเห็น เมื่อตามมาถึง คือ …..
ร่างของนัตสึฮิที่ทรุดและเงยหน้าขึ้น
หน้าผากเธอถูกยิง และเลือดไหลออกมา
ไม่มีใครอยู่ที่นั่น ทำไมเธอถึงยิงตัวเอง ?

มาเรียให้แบทเลอร์มองนาฬีกาตัวเอง
….. เที่ยงคืน….
เบียทริซกำลังจะคืนชีพ
มาเรียตะโกนเอ่ยชื่อของเบียทริซอย่างต่อเนื่อง
เจสซิก้ากอดศพของแม่ของเธอ
จอร์จได้แต่สับสนกับหลายๆ อย่าง
แบทเลอร์เฝ้ามองสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ….

Conclusion : 1st Game

วันรุ่งขึ้น พายุที่โหมกระหน่ำเมื่อวาน ได้หายไปราวกับโกหก
ที่เกาะแห่งนี้ ความปรารถนาของใครบางคนก็เป็นจริง …. ฝูงนกนางนวลกลับมาที่เกาะ และส่งเสียงร้องราวกับร่ำไห้

หลังจากเหตุการณ์นั้น ตำรวจมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ
ศพของเด็กๆ ที่รอดจนถึงราตรีสุดท้ายนั้น ได้หายสาปสูญ
เหลือเพียงศพจากการฆาตกรรมที่น่าสะพรึงกลัวเท่านั้น
และได้มีการตั้งข้อสรุปว่า ทั้ง 18 คนถูกฆาตรกรรม รวมทั้งกลุ่มเด็กที่สูญหายด้วย

งานเลี้ยงของแม่มดที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างไร ?
คงมีเพียงพวกเขาที่จะบอกเล่าถึงความงามของแดนทองคำได้ ….
พวกที่มาหลังงานเลี้ยงเลิกแล้ว ไม่สามารถบอกอะไรได้เลย เหลือเพียงจินตนาการต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในสองวันนั้น

อย่างไรก็ตาม  แม่มดก็รู้สึกสับสน
เธอไม่อยากให้เรื่องราวนี้ถูกปกปิดไว้ และอนุญาติให้เล่าต่อกันได้

หลายปีผ่านไป
ขวดไวน์ได้ถูกคลื่นพัดมา แล้วถูกเก็บได้โดยชาวประมง
ภายในมีเศษกระดาษที่เขียนข้อความไว้
นั่นเป็น ……….. เรื่องเล่าของเกาะแห่งนี้
คนทั่วไปจะได้รู้ถึงเรื่องลึกลับที่เกิดขึ้นในวันที่ 4 ตค. 1986
และความจริงที่เกิดขึ้นในสองวันนั้น ที่เต็มไปด้วยเรื่องแปลกประหลาด

เหตุการณ์ครั้งนั้นถูกเรียกว่า “เหตุการณ์ฆาตรกรรมต่อเนื่องบนรคเ็ค็นจิม่า”
“นักฆ่า 18 ศพ แห่งรคเค็นจิม่า” และอื่นๆ
แต่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ จะอ้างอิงเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า
“เหตุฆาตกรรมต่อเนื่องโดยแม่มด ”

กลุ่มคนพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับเวทมนตร์ที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมที่เกิดขึ้นบนเกาะที่ถูกหวงห้าม
เรื่องเล่าถูกแพร่กระจายออกไป สองวันที่เต็มไปด้วยเรื่องลึกลับถูกแต่งเติมเรื่องราว และถูกเปลี่ยนแปลงเนื้อหาทุกครั้งที่มีการเล่าต่อกันฟัง

ไม่ว่าจะหาความจริงมากสักเพียงใด พวกเขาก็จะไม่สามารถค้นหาความจริงที่เกิดขึ้นได้

…. และถึงเศษกระดาษในขวดแก้วจะบอกถึงเรื่องลึกลับที่เกิดขึ้น
มันก็ไม่ได้บอกถึงความจริงทั้งหมด

บางทีแม้แต่ผู้เขียนก็อาจจะไม่รู้เช่นกัน
…..เป็นไปได้ที่เธออาจต้องการรู้ความจริง

ชื่อผู้เขียน คือ อุชิโรมิยะ มาเรีย

นอกจากนี้ ผลจากการสืบสวน ที่เกี่ยวพันกับร่างของมาเรีย
เศษเขี้ยวฟันของเธอถูกค้นพบ ซึ่งตรงกับประวัติทันตกรรมของเธอ
นับเป็นเรื่องโชคดีที่พบฟันของเธอ เพราะในสถานการณ์ที่พบร่างคนตายมากมาย

ตำรวจตั้งข้อสันนิษฐานว่า เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าเธอยังมีชีวิตอยู่
เพราะเขี้ยวเธอได้รับความเสียหาย และไม่พบส่วนอื่นๆ อีก

และข้อความสุดท้ายที่เหลือในโน้ตที่ อุชิโรมิยะ มาเรีย เขียนไว้

” ตอนคุณอ่านข้อความนี้ ชั้นอาจจะตายไปแล้ว
แม้ว่าจะมีหรือไม่มีร่างกาย
คุณผู้ที่อ่านมัน ได้โปรดค้นหาความจริง
นี่เป็นปรารถนาเดียวของฉัน
อุชิโรมิยะ มาเรีย”

ความจริงของเหตุฆาตกรรมต่อเนื่องโดยแม่มด
ยังคงไม่เป็นที่กระจ่าง มาตราบจนถึงทุกวันนี้..
———————————-

1st game “Legend of the golden with” Result

อุชิโรมิยะ เคลาส์ ตายในคืนแรก ถูกเลือกให้เป็นผู้ถือกุญแจแห่งหมู่บ้านทองคำ และเสนอให้ถูกบูชายัญ
อุชิโรมิยะ คิริเอะ ตายในคืนแรก ถูกเลือกให้เป็นผู้ถือกุญแจแห่งหมู่บ้านทองคำ และเสนอให้ถูกบูชายัญ
อุชิโรมิยะ รูดอร์ฟ ตายในคืนแรก ถูกเลือกให้เป็นผู้ถือกุญแจแห่งหมู่บ้านทองคำ และเสนอให้ถูกบูชายัญ
อุชิโรมิยะ โรซ่า ตายในคืนแรก ถูกเลือกให้เป็นผู้ถือกุญแจแห่งหมู่บ้านทองคำ และเสนอให้ถูกบูชายัญ
อุชิโรมิยะ แชนนอน ตายในคืนแรก ถูกเลือกให้เป็นผู้ถือกุญแจแห่งหมู่บ้านทองคำ และเสนอให้ถูกบูชายัญ
อุชิโรมิยะ โกดะ ตายในคืนแรก ถูกเลือกให้เป็นผู้ถือกุญแจแห่งหมู่บ้านทองคำ และเสนอให้ถูกบูชายัญ
อุชิโรมิยะ เอวา ตายในคืนที่สอง ถูกแทงเข้าที่หน้าผาก โดย “Stake of Asmodeus”
อุชิโรมิยะ ฮิเดโยชิ ตายในคืนที่สอง ถูกแทงเข้าที่หน้าผาก โดย “Stake of Beelzebub”
อุชิโรมิยะ คินโซ ตายในคืนที่สี่ ถูกแทงเข้าที่หน้าผาก โดย “Stake of Mammon”
คนรับใช้ คานอน ตายในคืนที่ห้า ถูกแทงที่อก โดย “Stake of Satan”
คนรับใช้ เกนจิ ตายในคืนที่หก ถูกแทงที่ท้อง โดย “Stake of Lucifer”
แพทย์ประจำตัว นันโจ ตายในคืนที่เจ็ด ถูกแทงที่เข่า โดย “Stake of Belphegor”
คนรับใช้ คุมาซาวะ ตายในคืนที่แปด ถูกแทงที่ขา โดย “Stake of Leviathan”
แม่มดเบียทริซ คืนชีพในคืนที่เก้า สุดท้าย เธอได้เปิดประตูแห่งแดนทองคำ
อุชิโรมิยะ นัตสึฮิ ตายในคืนที่เก้า แม่มดสรรเสริญในความสง่างามของเธอ และให้การต่อสู้แห่งเกียรติยศแก่เธอ

อุชิโรมิยะ จอร์จ หายสาบสูญในคืนที่สิบ แม่มด (ผู้ที่เขาคิดว่ามีตัวตน) เรียกเขาไปยังแดนทองคำ
อุชิโรมิยะ เจสซิก้า หายสาบสูญในคืนที่สิบ แม่มด (ผู้ที่เธอคิดว่ามีตัวตน) เรียกเธอไปยังแดนทองคำ
อุชิโรมิยะ มาเรีย หายสาบสูญในคืนที่สิบ แม่มด (ผู้ที่เธอคิดว่ามีตัวตน) เรียกเธอไปยังแดนทองคำ
อุชิโรมิยะ แบทเลอร์ หายสาบสูญในคืนที่สิบ แม่มด (ผู้ที่เขาไม่เคยเชื่อการมีตัวตน และปฏิเสธเธอ) จะพาเขาไปแดนทองคำหรือไม่ ?

แม่มดสรรเสริญความฉลาด และมอบสมบัติทั้ง 4 แห่งแดนทองคำ
พวกเขาเลือกที่จะคืนชีพคนตาย และฟื้นความรักที่หายสาบสูญ
ถ้าพวกเขาไม่ปรารถนาภูเขาแห่งทองคำ จะไม่มีใครได้รับมันไป

สำหรับจอร์จ เขาเลือกคู่หมั้นที่เขาสูญเสีย
สำหรับเจสซิก้า เธอเลือกคนรักที่เธอสูญเสีย
สำหรับมาเรีย เธอเลือกความรักของแม่ที่เธอสูญเสีย

จงหลับอย่างเป็นสุขเถิด เบียทริซ การนิทราที่จะไม่มีใครมารบกวนเจ้าอีก

ผู้ชนะ คือ แม่มดทองคำ เบียทริซ
ทั้ง 18 คนหมดเวลา ก่อนที่จะไขปริศนาของทองคำได้
ทั้ง 18 คนสิ้นชีพ
เมื่อได้ยินเสียงนกนางนวล ไม่เหลือผู้รอดชีวิต

 

Tea Time

ณ. Purgatorio ที่เหมือนคฤหาสถ์แห่งหนึ่ง แต่ต่างจากบนเกาะรคเคนจิม่า

เหล่าผู้ที่ได้เดินทางไปยังแดนทองคำ และผู้ที่ตายบางส่วนมาสนทนากันในห้องรับรอง
ได้แก่ กลุ่มหลานทั้ง 4 คน, แชนนอน และคานอน (อาจเพราะความปรารถนาของจอร์จ และเจสซิก้า ที่เลือกให้คนรักคืนชีพ)
แน่นอนว่าทุกสิ่งที่ดูในเนื้อเรื่องหลักเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
พวกเขารอการไปแดนแห่งทองคำ สนทนาถึงสิ่งที่ผ่านมา และเชื่อในการมีตัวตนของเบียทริซ

ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น ดูสงบสุข
…… จนกระทั่ง แบทเลอร์กลับแสดงความคิดขัดแย้งที่ทุกคนเชื่อแม่มดได้ง่ายขนาดนั้น

ถึงเขาไม่สามารถยืนยันสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่ก็พูดความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
ยืนกรานเรื่องที่เวทมนตร์ไม่มีจริง

เบียทริซปรากฏตัวขึ้น
ถึงหลายคน จะขออภัยให้แบทเลอร์ แต่แบทเลอร์ก็ไม่ยอมก้มหัวให้กับเบียทริซ

แม่มดจึงเริ่มสนุกกับความท้าทายของแบทเลอร์ เธอพาไปยังสถานที่เกิดเหตุอีกครั้ง

ในห้องราตรีที่สอง เธอแสดงการควบคุมมีดที่เหมือนมีดเจาะน้ำแข็งที่อยู่หลังประตูให้ดู

เมื่อเธอเอ่ยถึง แเอสโมเดียสและเบลเซบัฟที่อยู่ในห้อง ก็มีเสียงเหมือนเจาะลึกเข้าไปในกระโหลกของศพภาพในห้องมากกว่าเดิม แม่มดถามว่าเขาอยากดูสภาพศพไหม ? แบทเลอร์ได้แต่หลับตาแล้วโกรธแค้นต่อเธอ

เมื่อกลับมาที่ Purgatory นอกจากแบทเลอร์แล้ว ทุกคนผิดปกติไปจากเดิม….
เลือดจำนวนมากทะลักออกจากอกของคานอน จนเขาทรุดลง
แชนนอนเกิดปวดที่แก้ม และกลายเป็นแผลเหวอะครึ่งหน้า ก่อนที่เธอล้มลง
ควันสีแดงล้อมรอบตัวจอร์จ ตามด้วย เจสซิก้า  ร่างทั้งสองแหลกเหลว ราวกับเนื้อบด
(ถ้าดูในส่วน TIP จะมีอธิบายว่าทั้งสองถูกปีศาจกิน แล้วลงไปยังนรก)
มาเรีย เชื่อว่าเบียทริซชุบชีวิตได้ และขอให้แบทเลอร์เชื่อในตัวแม่มด ก่อนที่เธอจะพบจุดจบเดียวกัน

….. เป็นความผิดของคนโง่ที่คิดท้าทายแม่มด
….. ความปรารถนาของผู้ที่ได้ไปแดนแห่งทองคำ ถูกยกเลิก
เหลือเพียงแบทเลอร์  กับเบียทริซที่รอรับการท้าทายจากเขา ….

??? (Hidden Tea Time)

เป็นการสนทนาของ Bernkastel แม่มดแห่งปฏิหารย์ และเบียทริซ แม่มดชั่วนิรันดร์ (Endless Witch)
ถึงเบียทริซจะยกยอความสามารถของเบิร์น แต่เบิร์นก็ตอบว่าเธอไม่ได้มีพลังเลย เมื่อเทียบกับเบียทริซ
เบียทริซยังคงกล่าวว่า ถึงเบิร์นจะไม่มีพลัง แต่ก็มีความสามารถที่ไม่มีใครเข้าถึงได้ ทำให้แม่มด Lambdadelta ต่อสู้กับเธอ
“ชั้นก็แค่ชนะในการแข่งความอดทนเท่านั้น เธอเบื่อหน่ายไปเสียก่อน” เบิร์นตอบ ซึ่งต่างจากสิ่งที่เบียทริซได้ยินมาจากแลมบ์ด้า

เบิร์นกล่าวถึงพลังของเบียทริซ และความสามารถที่แทบไร้ข้อผิดพลาด
สิ่งที่เรียกว่า “ไร้ข้อผิดพลาด” ไม่มีในโลก มีเพียงโอกาสผิดพลาดที่ใกล้เคียง 0 เท่านั้น
เบิร์นไม่ต้องการสู้กับแม่มดที่น่าสะพรึงกลัวแบบนี้อีก

เบิร์นก็เคยผ่านสิ่งที่คล้ายกันมาได้
สำหรับแลมบ์ด้า เธอเป็นคนที่น่าสะพรึงกลัวเพราะความโหดร้ายที่เคยเกิดกับเธอ แต่เบิร์นก็เข้าใจเด็กผู้หญิงแบบแลมบ์ด้าดี ส่วนเบียทริซนั้น เบิร์นไม่เข้าใจ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เบียทริซน่ากลัวยิ่งกว่าแลมบ์ด้า

หลังจากนั้น เบียทริซขอตัวไปเตรียมของข้างนอก เบิร์นหันมาคุยกับเรา
ถึงเธออยากให้ยืมพลัง แต่ก็ไม่เหมาะสมที่จะเอามาต่อกรกับเบียทริซ
เธอจะช่วยเราได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

อย่างแรก ผู้หญิงคนนั้น ชื่อเบียทริซ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
นั่นคือ เธอไม่ใช่มนุษย์ การมีตัวตนของเธอเป็นไปตามกฏของโลก
การเอาชนะเธอ คุณต้องเปิดเผยกฏของโลกนี้ และแก้ไขมันซะ

เปรียบเหมือน การรู้กฏโดยการดูคนอื่นเล่นหมากรุก ที่ไม่เคยเล่น
มองไปที่กระดาน, เรียนรู้การเดิน, หน้าที่ของตัวหมาก และเงื่อนไขของเกม
เมื่อคุณไขปริศนาได้ หัวใจของเธอจะถูกเปิดเผย ซึ่งเป็นโอกาสของคุณที่จะทำอะไรกับมันก็ได้
ชั้นค่อนข้างใจกว้างอยู่เหมือนกัน
ในอดีต ชั้นเคยมีร่างเป็นมนุษย์ ใช้เวลานับร้อยปีเพื่อทำความเข้าใจกับมัน

นี่เป็นของขวัญเล็กน้อย สำหรับคุณ ที่ถูกจับโดยเบียโตะ (Beato = Beatrice เป็นคำเรียกโดยเบิร์น, ภาษาอิตาลีสะกดว่า “เบ-อา-ตรี-เช่” (ญี่ปุ่นจะเป็น “เจ้”) เบิร์นจึงย่อให้สั้นลง)
มันก็เหมือนกับช้อน ไม่ใช่แค่ใช้กินซุปเท่านั้น ยังใช้ขุดพื้นในที่คุมขัง และใช้เป็นอาวุธที่ควักดวงตาของแม่มดได้
รวมทั้งเอามาใช้ซดน้ำซุปในที่คุมขังชั่วนิรันดร์ก็ได้

ชั้นไม่ต้องการให้คุณเข้าใจผิด ชั้นไม่ได้ต้องการเป็นพรรคพวกของคุณ
ชั้นเข้าใจความรู้สึกของคุณ แต่ไม่ได้อยากช่วย
คุณเหมือนคนที่กำลังนั่งหน้าทีวี และตะโกนบอกคนในทีวี ทั้งที่เสียงไม่สามารถส่งถึงได้

….. แล้ว คุณเข้าใจว่าชั้นเป็นแม่มดแล้วใช่ไหม ?
ชั้นสนใจที่จะสนุกกับเรื่องเล่าที่ไม่มีวันจบ โดยเบียโตะจะเริ่มขึ้นนับจากนี้ จนกว่าชั้นจะเริ่มเบื่อกับมัน
แต่ตอนนี้ ชั้นมั่นใจว่าชั้นจะเบื่อ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมชั้นให้คุณยืมพลัง

เบิร์นพูดต่อ ชั้นเป็นแม่มดที่โหดร้ายที่สุดในโลกแห่งนี้
ใครก็ตามที่เป็นคู่แข่ง ชั้นจะทำให้พวกมันพ่ายแพ้
… ถึงแม้ว่าจะเบียทริซ แม่มดชั่วนิรันดร์ ก็ตาม
คุณเป็นตัวหมากในเกมของชั้น ทำให้ดีที่สุดล่ะ
ถ้าอยู่นอกสายตาของเธอ ชั้นจะให้คำแนะนำแก่คุณในบางครั้ง
อย่าทำให้ชั้นเบื่อล่ะ ตกลงนะ … ? (หัวเราะ)

(จบ Umineko no Naku koro ni ~ Episode 1 : Legend of the Golden Witch)